การทำ SEO ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้เว็บไซต์ สามารถไต่อันดับขึ้นสู่หน้าแรกของการค้นหา และพาให้คนเข้ามายังเว็บไซต์ได้มากยิ่งขึ้น
การออกแบบเว็บไซต์ที่ตอบโจทย์ SEO สามารถสร้างโอกาสที่ดีในระยะยาวให้กับเว็บไซต์ได้ เช่น
- เพิ่มจำนวน Traffic หรือทำให้มีผู้เข้ามาดูข้อมูลบนเว็บไซต์ได้มากขึ้น
- เพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ ด้วยการออกแบบให้แต่ละหน้ามีคุณภาพ เข้าเกณฑ์ที่ Google กำหนด
- สามารถปรับแต่งเว็บไซต์ให้สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน และดึงให้ผู้ใช้งานใช้เวลาภายในเว็บไซต์ให้นานที่สุด
- ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักได้มากขึ้น
เทคนิคการออกแบบเว็บไซต์ที่ดี ตอบโจทย์ SEO
- คอนเทนต์บนเว็บไซต์ต้องมีคุณภาพ – การทำเนื้อหาให้มี Keyword ที่เกี่ยวข้อง จะทำให้อัลกอลิทึมสามารถรู้ได้ว่าเนื้อหาภายในหน้าเว็บเพจนั้นเกี่ยวข้องกับอะไร
ซึ่งในตอนนี้ระบบของ Google มีความซับซ้อนมายิ่งขึ้น เราไม่สามารถเขียนเนื้อหาที่ยืดยาวและแทรก Keyword เพียงอย่างเดียวเพื่อให้เว็บติดอันดับได้เหมือนก่อนแล้ว แต่จะต้องเขียนเนื้อหาให้มีคุณภาพและตอบข้อสงสัยให้กับผู้ใช้งานที่เข้ามาอ่านได้
โดยกาารสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพตอบโจทย์ SEO สามารถทำได้ คือ ทำตามหลัก E-E-A-T ของ Google โดยจะเป็นเกณฑ์ที่ Google ใช้วัดคุณภาพของเนื้อหาภายในเว็บไซต์ที่จะต้องให้ ประสบการณ์ความรู้ / ความเชี่ยวชาญ / มีความเป็นต้นฉบับ / ข้อมูลน่าเชื่อถือ เช่น
- มีส่วนสำหรับรีวิวเนื้อหา
- มีหน้าเกี่ยวกับเรา (About us)
- มีอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
- มีการใส่ข้อมูลของผู้เขียนเนื้อหา
- ให้ข้อมูลการติดต่อ หากผู้ใช้งานต้องการสอบถามเพิ่มเติม
นอกจากนี้ เนื้อหาที่ทำมีการจัดทำลงบนเว็บไซต์ จะต้องมีการคำนึงถึงผู้ใช้งานเป็นหลัก เมื่อคลิกเข้ามาอ่านแล้วจะต้องได้รับประโยชน์จากเนื้อหา หรือพบเจอกับเนื้อหาที่แปลกใหม่ หาอ่านจากที่ไหนไม่ได้ จะทำให้ผู้ใช้งานเห็นถึงความเชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ และกลับเข้ามาหาข้อมูลอยู่เรื่อยๆ
- จัดหน้าเนื้อหาให้อ่านง่าย – การเข้ามาอ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์ ถือเป็นด่านแรกที่ผู้ใช้งานจะเข้ามาทำความรู้จักกับธุรกิจ แม้ว่าเว็บไซต์จะสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพมาแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีการจัดระเบียบของเนื้อหาให้อ่านได้ง่าย จะส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งานที่เข้ามาอ่านได้ไม่ดีนัก
เพราะเมื่อคลิกเข้ามาอ่านแล้วพบว่าทั้งหน้ามีแต่ตัวหนังสือยาวเหยียด ไม่มีการแบ่งวรรค แบ่งย่อหน้า หรือมีแต่ตัวหนังสือที่อ่านยาก ก็จะทำให้อัตราการคลิกออกจากเว็บไซต์มีเยอะขึ้น
ซึ่งการคลิกออกจากเว็บไซต์บ่อยๆ และคลิกออกไปในระยะเวลาที่รวดเร็วนี้เอง จะเป็นสัญญาณที่ทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของเราไม่มีคุณภาพ สุดท้ายแล้วจะถูกลดอันดับ และหลุดออกไปจากหน้าแสดงผล
เทคนิคการจัดรูปแบบเนื้อหาให้อ่านง่าย
- เลือก Font ที่อ่านได้ง่าย โดยเฉพาะภาษาไทย ที่มีหลายรูปแบบ หลายน้ำหนัก จะต้องเลือกในรูปแบบที่ดูเรียบง่าย อ่านง่ายที่สุด
- ขนาดของข้อความไม่เล็กกว่า 16 pixels
- แบ่งวรรคตอนของคำ และบรรทัดให้พอดี ไม่ใกล้กันหรือห่างกันมาเกินไป
- วางข้อความบนสีพื้นหลังที่อ่านง่าย โดยสีที่แนะนำคือ สีขาว
- ออกแบบ Site Structure ให้เรียบง่าย – การออกแบบ Site Structure หรือการวางแผนผังของเว็บไซต์ให้เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และทำให้ทุกๆ หน้าของเว็บไซต์เชื่อมโยงกันได้อย่างเป็นระเบียบ จะช่วยให้อัลกอลิทึมของ Google สามารถเข้ามาเก็บข้อมูลภายในเว็บไซต์ได้สะดวก
การ Crawl ซึ่งเป็นการเข้ามาไล่อ่านข้อมูลในทุกๆ หน้าเพื่อดูว่าแต่ละหน้ามีข้อมูลเกี่ยวกับอะไร
การ Index เมื่อได้ข้อมูลทั้งหมดแล้ว จะถูกนำไปจัดเก็บบนฐานข้อมูลของ Google เพื่อรอเรียกแสดงผล เมื่อมีการค้นหาจากคำที่เกี่ยวข้องกัน
ทำให้การออกแบบ Site Structure มีความสำคัญ เพราะหาก Bot ของ Google สามารถเข้ามาอ่านข้อมูลได้ครบทุกหน้า ที่ถูกออกแบบมาอย่างเป็นระเบียบ จะช่วยให้การเก็บข้อมูลทำได้ครบถ้วนและโอกาสที่เว็บไซต์จะติด SEO ก็มีมากขึ้น เร็วขึ้นด้วย
- ให้ความสำคัญกับการตั้งชื่อ URL – ชื่อ URL เป็นหนึ่งในวิธีการที่ช่วยให้เว็บไซต์สามารถติดอันดับการค้นหาได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักถูกมองข้ามเนื่องจากจะต้องตั้งชื่อ URL ให้กับทุกหน้า และยิ่งเว็บไซต์ไหนมีจำนวนหน้าที่เยอะ ก็ต้องไล่ปรับใหม่ให้ครบ
แต่จริงๆ แล้วการตั้งชื่อ URL ถือว่ามีความสำคัญกับการทำ SEO เพราะหากชื่อ URL ต่อท้ายเป็นคำที่ยาวมากๆ และไม่มีความหมาย
เช่น mywebsite.com/1dfe3r3velmvf334n0nf33iub จะทำให้ Google นำไปพิจารณาแสดงผลได้ไม่ดีนัก แม้ว่าจะมีเนื้อหาภายในเว็บไซต์ที่ดีก็ตาม
แต่หากมีการตั้งชื่อ URL ให้ง่าย และเป็นระเบียบ ก็จะช่วยให้การพิจารณาเพื่อแสดงผลง่ายขึ้น ส่งผลดีต่อการทำ SEO เช่น mywebsite.com/article/what-is-seo
5. ปรับแต่ง Performance ของเว็บไซต์ – เว็บไซต์ Performance จะเป็นการวัดค่าความเร็วในการโหลด และแสดงผลเนื้อหาของเว็บไซต์ เมื่อมีการคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ ซึ่ง Google เองก็ได้ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้งานที่ดีที่สุด หากคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์แล้ว มีการโหลดแสดงผลช้า ก็จะทำให้คนคลิกออกเยอะ ส่งผลเสียต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ที่ต่ำลง
โดยการปรับแต่ง Performance ของเว็บไซต์ สามารถทำได้ดังนี้
- ลดขนาดของไฟล์ภาพให้ไม่ใหญ่จนเกินไป แต่ก็ต้องไม่สูญเสียความละเอียดของภาพ
- เลือกเซิร์ฟเวอร์ที่ให้เวลาในการโหลดรวดเร็ว
- ลดขนาดของไฟล์ CSS และ JavaScript
- Mobile-Friendly ต้องมาก่อน – ในยุคที่คนส่วนใหญ่ใช้สมาร์ทโฟนในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต แน่นอนว่าคนเหล่านี้ก็จะต้องค้นหาข้อมูลจากบนมือถือเช่นเดียวกัน นั่นจึงทำให้ การออกแบบเว็บไซต์ จะต้องคำนึงถึงการตอบสนองที่ดีบนสมาร์ทโฟน รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย
ตั้งแต่ปี 2016 ทาง Google เคยประกาศไปแล้วว่าการออกแบบเว็บไซต์ให้ Mobile-Friendly และยังรวมถึงการออกแบบให้เว็บไซต์โหลดแสดงผลเนื้อหาได้เร็ว มีอัตราการคลิกออกที่น้อย จะอยู่ในเกณฑ์ของการให้คะแนนเพื่อจัดอันดับบนหน้าค้นหา ที่ทำให้เว็บไซต์สามารถขึ้นสู่หน้าแรกได้เร็วขึ้น
- ติดตาม วิเคราะห์ และปรับปรุงประสิทธิภาพอยู่เสมอ – การออกแบบเว็บไซต์ที่ดีเพื่อให้ติด SEO ไม่ได้เป็นการทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่จะต้องมีการติดตามผลอยู่เสมอ เช่น
ดูว่าหน้าเว็บเพจไหนที่มีอัตราคลิกเข้าชมสูง และจะนำไปปรับใช้กับหน้าที่มีคนเข้ามาดูน้อยได้ยังไงบ้าง – หน้าเว็บที่ตรวจสอบแล้วมีประสิทธิภาพการแสดงผลที่ช้า ต้องวิเคราะห์ดูว่าปัญหาคืออะไร และแก้ไขได้อย่างไรบ้าง
บทความเก่าๆ ที่ตกเทรนด์ไปแล้ว จะมีการปรับปรุงอย่างไร เพื่อให้กลับมาติดอันดับได้อีกครั้ง
ที่มา: 1stcraft