วิทยาศาสตร์มัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต ตอนที่ 1

เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต
1. ระบบย่อยอาหารของมนุษย์
ระบบย่อยอาหารของมนุษย์ (Digestion System)

ระบบย่อยอาหาร ประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ดังนี้
1. ปาก (Month) เริ่มจากภายในปากมีฟัน (Teeth) ที่ทำหน้าที่บดเคี้ยวอาหารให้ละเอียด ซึ่งเป็นการย่อยเชิงกล ในขณะเดียวกันลิ้น (tongue) ที่รับรสอาหาร ก็จะช่วยคลุกเคล้าอาหารกับน้ำลายที่มีเอนไซม์อะไมเลส (amylase) ที่ช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรตหรือแป้งให้มีขนาดเล็กลง

2. คอหอย (Pharynx) เป็นทางผ่านของอาหารจากปากลงสู่หลอดอาหาร คอหอยจะมีท่อที่เชื่อมระหว่างหลอดลมและหลอดอาหาร

3. หลอดอาหาร (Esophagus) โดยกล้ามเนื้อของผนังหลอดอาหารจะบีบตัวเป็นลูกคลื่นระยะ ๆ เรียกว่า เพอริสทัลซีส (peristalsis) เพื่อให้อาหารลงสู่กระเพาะอาหารและไม่ย้อนกลับสู่หลอดอาหารอีก

4. กระเพาะอาหาร (Stomach) มีลักษณะเป็นถุงที่จุประมาณ 2 – 4 ลิตร ผนังของกระเพาะอาหารเป็นกล้ามเนื้อหนาที่แข็งแรงและยืดหยุ่น กระเพาะอาหารจะผลิตกรดไฮโดรคลอริก (กรดเกลือ) ช่วยทำให้อาหารอ่อนตัวและกรดนี้จะเปลี่ยนเอนไซม์ที่ไม่มีฤทธิ์ให้กลายเป็นเอนไซม์เพปซิน (pepsin) ช่วยย่อยโปรตีน

5. ลำไส้เล็ก (Small Intestine) เป็นท่อขดไปมาในช่องท้อง ผนังด้านในมีส่วนยื่นออกมา เรียกว่า วิลลัส (villus) ช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึมอาหาร ภายในลำไส้เล็กมีต่อมสร้างน้ำย่อยที่ย่อยแป้ง น้ำตาล และโปรตีน หน้าที่สำคัญของลำไส้เล็กคือย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหาร

6. ตับ (Liver) เป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย อยู่ใต้ชายโครงด้านขวา มีต่อมขนาดใหญ่ทำหน้าที่สร้างน้ำดี (Bile) แล้วเก็บไว้ในถุงน้ำดี และจากถุงน้ำดีจะมีท่อส่งต่อมายังลำไส้เล็ก ทำให้ลำไส้เล็กสามารถย่อยอาหารประเภทไขมันและดูดซึมง่ายขึ้น

7. ตับอ่อน (Pancreas) อยู่ระหว่างกระเพาะอาหารกับลำไส้เล็กตอนบน ทำหน้าที่ช่วยสร้างน้ำย่อยให้ลำไส้เล็ก นอกจากนี้ยังสร้างฮอร์โมนมีผลต่อการลดระดับน้ำตาลในเลือด นั่นคือ ฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin)

8. ลำไส้ใหญ่ (Large Intestine) ไม่มีหน้าที่ย่อยอาหาร แต่มีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารที่เหลือจากการดูดซึมของลำไส้เล็กเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นจะบีบตัวเพื่อให้กากอาหารที่ไม่มีประโยชน์หรืออุจจาระ ออกนอกร่างกายทางทวารหนัก (Rectum)

เอนไซม์ในระบบย่อยอาหาร
เอนไซม์เป็นสารประกอบประเภทโปรตีน มีสมบัติเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีในสิ่งมีชีวิต ส่วนในมนุษย์ก็มีเอนไซม์ที่ช่วยในระบบการย่อยอาหาร ซึ่งเอนไซม์แต่ละชนิดก็จะมีหน้าที่ย่อยสารต่างกัน ดังตาราง

สรุปสาระสำคัญ
การย่อยคือการทำให้อาหารเล็กลง อาจด้วยการเคี้ยวหรือเอนไซม์ช่วยย่อย เพื่อให้ร่างกายดูดซึมสารอาหาร อวัยวะที่ช่วยย่อยมีหน้าที่ต่างกันแต่ต้องทำงานเป็นระบบ

02. ระบบไหลเวียนโลหิตของมนุษย์
ระบบไหลเวียนโลหิตของมนุษย์ (Circulatory System)

ในระบบหมุนเวียนโลหิตของมนุษย์เป็นระบบปิด ได้แก่
1. เลือด (Blood) ประกอบด้วยน้ำเลือดหรือพลาสมา เซลล์เม็ดเลือด และเกล็ดเลือด

1.1 น้ำเลือดหรือพลาสมา (plasma) เป็นน้ำร้อยละ 91 ทำหน้าที่ลำเลียงสารอาหารเข้าสู่ร่างกายและส่งของเสียไปกำจัด

1.2 เซลล์เม็ดเลือดแดง (red blood cell) สร้างจากไขกระดูก ในขณะที่เจริญไม่เต็มที่มีนิวเคลียส แต่เมื่อเจริญเต็มที่นิวเคลียสจะสลายไป ซึ่งเซลล์บุ๋มตรงกลางคล้ายโดนัท ภายในมีสารฮีโมโกลบินที่จับกับแก๊สออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ เซลล์มีอายุ 110-120 วัน โดยถูกนำไปทำลายที่ตับและม้าม

1.3 เซลล์เม็ดเลือดขาว (white blood cell) สร้างที่ไขกระดูกและม้าม มีขนาดใหญ่กว่าเซลล์เม็ดเลือดแดง ค่อนข้างกลมแบนและมีนิวเคลียสอยู่ตลอดชีวิตของเซลล์ ทำหน้าที่สร้างแอนติบอดี (antibody) เพื่อทำลายเชื้อโรคในร่างกาย เซลล์มีอายุ 7-14 วัน โดยถูกส่งไปทำลายที่ตับและม้าม


1.4 เกล็ดเลือด (platelet) เป็นชิ้นส่วนของเซลล์ แต่ไม่ใช่เซลล์ ลักษณะเป็นแผ่นรีแบน ช่วยให้เลือดแข็งตัว เมื่อเกิดแผล

2. หลอดเลือด (Blood Vessel) เป็นท่อส่งเลือด การบีบตัวของผนังหลอดเลือดทำให้เกิดแรงดัน เลือดไหลตามหลอดเลือด ได้แก่ หลอดเลือดแดง (artery) หลอดเลือดดำ (vein) และหลอดเลือดฝอย (capillary)

3. หัวใจ (Heart) เป็นอวัยวะที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรง เพื่อสูบฉีดเลือดตลอดเวลา ระหว่างหัวใจห้องบนและล่างมีลิ้นหัวใจกั้นอยู่ ทำหน้าที่ไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ

การหมุนเวียนของเลือดผ่านหัวใจ
หัวใจรับเลือดที่มีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากหลอดเลือดดำทั่วร่างกายเข้าสู่หัวใจห้องบนขวาลงหัวใจห้องล่างขวา แล้วสูบฉีดเลือดไปยังปอดเพื่อแลกเปลี่ยนแก๊ส จากนั้นแก๊สออกซิเจนจากปอดจะแพร่เข้าสู่หลอดเลือดแดง ไหลกลับสู่หัวใจห้องบนซ้าย ลงสู่หัวใจห้องล่างซ้าย แล้วสูบฉีดเลือดไปยังทั่วร่างกาย แล้วกลับไปยังหัวใจ

ความดันเลือด
ความดันเลือด เกิดจากการบีบตัวและคลายตัวของหัวใจ ทำให้เลือดไหลไปตามหลอดเลือด ค่าความดันมีตัวเลข 2 ค่า มีหน่วยเป็นมิลลิเมตรของปรอท (mmHg) เช่น ค่าความดันของคนปกติเป็น 120/80 mmHg เลขตัวแรกคือความดันเลือดสูงสุด ขณะหัวใจบีบตัว เรียกว่า ความดันซิสโทลิก (systolic pressure) ส่วนเลขตัวหลังคือความดันเลือดต่ำสุดขณะหัวใจคลายตัวเรียกว่า ความดันไดแอสโทลิก (diastolic pressure)

ปัจจัยที่มีผลต่อความดันเลือด เช่น ผู้สูงอายุมีความดันเลือดสูงกว่าเด็ก เพศชายมีความดันเลือดสูงกว่าเพศหญิง คนที่สูงใหญ่มักมีความดันเลือดสูงกว่าคนที่มีร่างกายขนาดเล็ก เป็นต้น

ชีพจร
ชีพจรคือจังหวะการหดและคลายตัวของผนังหลอดเลือด หรือจังหวะการเต้นของหัวใจ ซึ่งคนปกติอยู่ 60-100 ครั้งต่อนาที และจังหวะคงที่

สรุปสาระสำคัญ
เลือดจากทั่วร่างกายจะถูกส่งเข้าสู่หัวใจ แล้วส่งไปยังปอด เพื่อแลกเปลี่ยนแก๊ส และเข้าสู่หัวใจเพื่อส่งไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย

03.ระบบทางเดินหายใจของมนุษย์
ระบบทางเดินหายใจ (respiratory system)

การหายใจ (respiration) เป็นการนำอากาศเข้าและออกจากร่างกาย ทำให้แก๊สออกซิเจนทำปฏิกิริยากับสารอาหาร ได้พลังงาน น้ำ และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์

อวัยวะในระบบทางเดินหายใจ
1.จมูก (nose) มีหน้าที่รับกลิ่น และเป็นทางผ่านเข้าออกของอากาศ

2. ปาก (mouth) ช่องทางที่อากาศผ่านเข้าสู่ปอดได้กรณีเหนื่อยหรือทางจมูกตีบตัน

3. โพรงจมูก (nosal cavity) อยู่ถัดจากรูจมูก ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นของอากาศ และดักฝุ่นละอองไม่ให้เข้าจมุก

4. คอหอย (phaynx) ส่วนหนึ่งของคอและช่องคอ

5. กล่องเสียง (larynx) อวัยวะที่อยู่ด้านหน้าของลำคอ ทำให้เกิดเสียง

6. หลอดลม (Trachea) หลอดยาวที่มีกระดูกอ่อนรูปเกือกม้าเรียงติดกัน ทำให้หลอดลมไม่แฟบ อากาศจึงผ่านเข้าออกได้

7. ปอด (lung) อวัยวะที่ใช้แลกเปลี่ยนแก๊ส มี 2 ข้างในทรวงอก ประกอบด้วยขั้วปอด (Bronchus) ที่แตกแขนงออก เรียกว่า แขนงขั้วปอด (Bronchiole) ที่ปลายของแขนงขั้วปอดมีถุงลมเล็กๆใช้แลกเปลี่ยนแก๊ส เรียกว่า ถุงลมปอด (alveolu)

กลไกของระบบทางเดินหายใจ
การหายใจเข้า กะบังลมเคลื่อนต่ำลง กระดูกซี่โครงยกตัว ทำให้ปริมาตรของช่องอกเพิ่มขึ้น ความดันอากาศในช่องอกและปอดลดต่ำลง อากาศเข้าสู่ปอด

การหายใจออก กะบังลมยกขึ้น กระดูกซี่โครงเลื่อนต่ำลง ทำให้ปริมาตรของช่องอกน้อยลง ช่องอกและปอดมีความดันอากาศสูงขึ้น อากาศออกจากปอด

คนปกติมีอัตราการหายใจ 14-18 ครั้งต่อนาที เรากลั้นหายใจได้ไม่เกิน 1 นาที ขึ้นอยู่กับปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด เช่น ขณะออกกำลังกาย แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดจะสูง ทำให้หายใจเร็ว เพื่อให้รับแก๊สออกซิเจนได้มากขึ้น แต่เมื่อหลับ ร่างกายทำงานน้อยลง ปริมาณแก๊สต่ำ การหายใจก็จะช้าลง

การแลกเปลี่ยนแก๊ส
แก๊สออกซิเจนจากถุงลมปอดจะแพร่เข้าสู่หลอดเลือดฝอยรอบๆถุงลมปอด และรวมตัวกับฮีโมโกลบินที่เม็ดเลือดแดงกลายเป็นออกซีฮีโมโกลบิน ทำให้เลือดมีสีแดง จากนั้นหัวใจจะสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย แก๊สออกซิเจนจะทำปฏิกิริยากับสารอาหาร ได้พลังงาน น้ำ และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ หลังจากนั้นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จะแพร่เข้าสู่หลอดเลือดฝอย ไปยังปอด และหายใจออก

อาการที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ
1. การจาม อาการที่หายใจเข้าลึกและหายใจออกทันที เกิดจากร่างกายพยายามขับสิ่งแปลกปลอมออกนอกร่างกาย

2. การหาว อาการที่หายใจเข้ายาวและลึก เกิดจากร่างกายมีปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์สะสมอยู่ในเลือดมากเกินไป จึงต้องขับออก เพื่อรับแก๊สออกซิเจนเข้าปอดแทน

3. การสะอึก อาการที่เกิดจากกะบังลมหดตัวเป็นจังหวะ ขณะหดตัวอากาศจะถูกดันผ่านลงสู่ปอดทันที ทำให้เส้นเสียงสั่นเกิดเสียง

4. การไอ อาการที่หายใจเข้ายาวและออกอย่างรุนแรง เพื่อไม่ให้สิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปในกล่องเสียงและหลอดลม

สรุปสาระสำคัญ
เมื่อหายใจเข้า แก๊สออกซิเจนจะผ่านอวัยวะต่างๆเข้าสู่ปอด เกิดการแลกเปลี่ยนแก๊ส ส่วนแก๊สที่ร่างกายไม่ต้องการก็จะถูกขับออก กลายเป็นลมหายใจออกแก๊สที่ร่างกายต้องการคือแก๊สออกซิเจน

04. ระบบขับถ่ายของมนุษย์
ระบบขับถ่าย (excretory system)
ระบบขับถ่ายเป็นระบบการขับของเสียออกจากร่างกาย ได้แก่ ลมหายใจ เหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ

การกำจัดของเสียทางปอด
ปอดทำหน้าที่แลกเปลี่ยนแก๊ส โดยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการใช้พลังงานของร่างกายจะออกจากเซลล์แพร่เข้าไปในหลอดเลือด ลำเลียงไปยังปอดและแพร่เข้าสู่ถุงลมปอด ผ่านหลอดลมแล้วออกทางจมูก


การกำจัดของเสียออกทางไต
ไตเป็นอวัยวะที่มีลักษณะคล้ายถั่ว มี 2 ข้าง ติดกับด้านหลังของช่องท้อง ไตแต่ละข้างประกอบด้วยหน่วยไตนับล้านหน่วย ตรงกลางของไตเว้าเป็นกรวยไต มีท่อไตต่อไปยังกระเพาะปัสสาวะ

กระบวนการกำจัดของเสีย เริ่มจากหลอดเลือดดำจะส่งเลือดเข้าหน่วยไต หน่วยไตจะกรองสารที่อยู่ในเลือด ซึ่งสารที่ยังมีประโยชน์จะถูกหน่วยไตดูดซึมกลับคืน ส่วนของเสียจะถูกส่งไปตามท่อไตลงสู่กระเพาะปัสสาวะที่มีความจุ 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร แต่เมื่อมีน้ำปัสสาวะ 250 ลูกบาศก์เซนติเมตร เราก็จะปวดปัสสาวะ คนเราขับปัสสาวะออกมาประมาณ 1 – 1.5 ลิตรต่อวัน แต่หากกลั้นปัสสาวะไว้นานๆ ก็อาจทำให้เป็นโรคนิ่วในไตหรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

การกำจัดของเสียออกทางผิวหนัง
ผิวหนังมีต่อมเหงื่อที่เป็นท่อขดไปมาและกลุ่มหลอดเลือดฝอยรอบๆ ที่ทำหน้าที่ลำเลียงของเสียมายังต่อมเหงื่อ เมื่อของเสียมาถึงต่อมเหงื่อก็จะแพร่ออกจากหลอดเลือดฝอยเข้าสู่ท่อในต่อมเหงื่อ จากนั้นของเสียก็จะถูกขับออก ซึ่งก็คือเหงื่อ เหงื่อจากต่อมเหงื่อประกอบด้วยน้ำร้อยละ 99 ส่วนอีกร้อยละ 1 เป็นสารอื่นๆ ได้แก่ โซเดียมคลอไรด์ ยูเรีย แอมโมเนีย กรดอะมิโน น้ำตาล และกรดแลกติก
นอกจากขับของเสียแล้ว เหงื่อที่ระเหยยังช่วยระบายความร้อนออกไปด้วย

การกำจัดของเสียออกทางลำไส้ใหญ่
เมื่อลำไส้เล็กย่อยและดูดซึมสารอาหารแล้ว จะส่งกากอาหารไปยังลำไส้ใหญ่ ลำไส้ใหญ่ครึ่งแรกจะดูดซึมสารอาหารที่ยังเหลืออยู่ ส่วนครึ่งหลังจะเป็นที่พักกากอาหารที่เป็นกึ่งของแข็ง จากนั้นลำไส้ใหญ่จะบีบตัวและขับเมือกออกมาหล่อลื่น เพื่อให้กากอาหารเคลื่อนที่ไปรวมกันที่ลำไส้ตรง และขับถ่ายเป็นอุจจาระออกทางทวารหนัก แต่ถ้าอุจจาระตกค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่หลายวัน ลำไส้ใหญ่จะดูดน้ำกลับ ทำให้อุจจาระแข็ง ขับถ่ายลำบาก เกิดอาการท้องผูก และผู้ที่ท้องผูกนานๆ อาจทำให้เป็นโรคริดสีดวงทวาร วิธีป้องกันท้องผูกก็คือการดื่มน้ำ การรับประทานผักผลไม้ที่มีกากใยทุกวัน เพื่อช่วยให้ลำไส้ใหญ่ขับถ่ายสะดวก

สรุปสาระสำคัญ
ระบบขับถ่ายเป็นระบบกำจัดของเสียของร่างกาย ของเสียที่เกิดขึ้นมีทั้งของแข็ง ของเหลว และแก๊ส

05. ระบบสืบพันธุ์ของมนุษย์
ระบบสืบพันธุ์
ระบบสืบพันธุ์คือกระบวนการผลิตสิ่งมีชีวิตเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์


ระบบสืบพันธุ์เพศชาย
1. อัณฑะ (testis) ต่อมสร้างตัวอสุจิ (sperm) หรือเซลล์สืบพันธุ์เพศชาย และฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone) เพื่อควบคุมลักษณะเพศชาย ภายในมีหลอดสร้างตัวอสุจิ (seminiferous Tubules)

2. หลอดเก็บตัวอสุจิ (epididymis) ทำหน้าที่เก็บตัวอสุจิ

3. หลอดนำตัวอสุจิ (Vas deferens) ท่อที่ถัดจากหลอดเก็บตัวอสุจิ ทำหน้าที่ลำเลียงตัวอสุจิไปเก็บที่ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ

4. ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ (seminal Vesicle) มีหน้าที่สร้างอาหารเลี้ยงตัวอสุจิ

5. ต่อมลูกหมาก (Prostate Gland) ทำหน้าที่หลั่งสารที่เป็นเบสอ่อนเข้าไปในท่อปัสสาวะ เพื่อให้ตัวอสุจิอยู่ได้

6. ต่อมคาวเปอร์ (Cowper Gland) กระเปาะเล็กๆใต้ต่อมลูกหมาก ช่วยหลั่งสารหล่อลื่น

7. องคชาติ (penis) เป็นทางผ่านของน้ำปัสสาวะและอสุจิ

เพศชายสร้างตัวอสุจิเมื่ออายุ 12-13 ปี และสร้างตลอดชีวิต การหลั่งแต่ละครั้งมีตัวอสุจิ 350-500 ล้านตัว หากตัวอสุจิต่ำกว่า 30 ล้านตัวต่อลูกบาศก์เซนติเมตรหรือรูปร่างผิดปกติมากกว่าร้อยละ 25 จะมีบุตรยากหรือเป็นหมัน

ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
1. รังไข่ (ovary) อยู่บริเวณปีกมดลูก 2 ข้าง ทำหน้าที่ผลิตไข่ (ovum) หรือเซลล์สืบพันธุ์เพศหญิง และสร้างฮอร์โมนอีสโทรเจน (Estrogen) และโพรเจสเทอโรน (Progesterone) เพื่อควบคุมลักษณะเพศหญิง

2. ท่อนำไข่ (oviduct) [ปีกมดลูก] เป็นทางเชื่อมระหว่างรังไข่กับมดลูก และเป็นบริเวณที่อสุจิเข้าปฏิสนธิกับไข่

3. มดลูก (uterus) อยู่บริเวณอุ้งกระดูกเชิงกราน เป็นที่ฝังตัวของไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว

4. ช่องคลอด (vagina) เป็นทางผ่านของตัวอสุจิเข้าสู่มดลูก เป็นทางออกของทารกและประจำเดือน

ประจำเดือน
เมื่อไข่ตก ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเพื่อเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกสำหรับการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิ แต่เมื่อไม่มีการปฏิสนธิ เยื่อบุโพรงมดลูกและหลอดเลือดก็จะสลาย กลายเป็นประจำเดือน เพศหญิงจะมีประจำเดือนตั้งแต่อายุ 12 ปี รอบเดือนประมาณ 28 วัน เมื่ออายุ 50 ปีก็หมดประจำเดือน

การปฏิสนธิ
เมื่อตัวอสุจิเข้าปฏิสนธิกับไข่ ไข่ที่ผสมแล้วจะแบ่งตัวได้ไซโกต (zygote) ไซโกตจะฝังตัวที่ผนังมดลูกด้านใน แล้วเริ่มแบ่งเซลล์จนกลายเป็นตัวอ่อน (embryo) จนกระทั่งอายุ 38 สัปดาห์ ก็จะคลอดออกมา

ความผิดปกติของการตั้งครรภ์
ปกติแล้วคนเราจะตั้งครรภ์ครั้งละคนเท่านั้น แต่บางกรณีอาจมีโอกาสครั้งละมากกว่า 1 คน เรียกว่า แฝด

1. แฝดร่วมไข่ เกิดจากไข่ 1 เซลล์ ผสมกับตัวอสุจิ 1 เซลล์ แต่ขณะที่เป็นตัวอ่อนในระยะแรกๆ ได้แบ่งเป็น 2 ส่วน แล้วเจริญเติบโตเป็นทารกเพศเดียวกันและคลอดเวลาใกล้เคียงกัน

2. แฝดต่างไข่ เกิดจากไข่มากกว่า 1 เซลล์ ปฏิสนธิกับตัวอสุจิมากกว่า 1 เซลล์ ได้ตัวอ่อนมากกว่า 1 ซึ่งเป็นเพศเดียวกันหรือต่างเพศก็ได้

นอกจากนี้ยังมีความผิดปกติอื่น เช่น แท้งคือทารกคลอดก่อน 28 สัปดาห์ ท้องนอกมดลูกคือตัวอ่อนฝังตัวบริเวณที่ไม่ใช่มดลูก และการคลอดก่อนกำหนดคือการที่ทารกคลอดเมื่ออายุ 28-37 สัปดาห์

สรุปสาระสำคัญ
ระบบสืบพันธุ์เป็นกระบวนการเพื่อสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่
ฮอร์โมนเพศเป็นสิ่งสำคัญในระบบสืบพันธุ์

  • Admins

    Related Posts

    ทุนปริญญาตรี หลักสูตร iCLA (Yamanashi Gakuin University)

    ทุนปริญญาตรี หลักสูตร iCLA (Yamanashi Gakuin University) เปิดรับสมัครนักศึกษา ระดับ ปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ iCLA (The International College of Liberal Arts) หลักสูตรอินเตอร์ ประจำปีการศึกษา 2024 เข้าศึกษาเทอมกันยายน 2024 หลักสูตร iCLA (The International College of Liberal Arts)…

    Doshisha Business School, Doshisha University

    Doshisha Business School, Doshisha University หลักสูตรที่เปิดสอน

    You Missed

    General Well (2024) งานเลี้ยงหนานเฉิง

    • By FINN
    • June 22, 2024
    • 16 views
    General Well (2024) งานเลี้ยงหนานเฉิง

    ร้านราเมนทงคตสึชื่อดัง อุเมดะ ชิบาตะ (ICHIRAN Umeda Shibata)

    • By FINN
    • June 17, 2024
    • 10 views
    ร้านราเมนทงคตสึชื่อดัง อุเมดะ ชิบาตะ (ICHIRAN Umeda Shibata)

    The Legend of Heroes Hot Blooded (2024) มังกรหยก ก๊วยเจ๋งอึ้งย้ง

    • By FINN
    • June 17, 2024
    • 11 views
    The Legend of Heroes Hot Blooded (2024) มังกรหยก ก๊วยเจ๋งอึ้งย้ง

    Miss Night and Day (2024) มิส ไนท์ แอนด์ เดย์

    • By FINN
    • June 16, 2024
    • 15 views
    Miss Night and Day (2024) มิส ไนท์ แอนด์ เดย์

    Jade’s Fateful Love (2024) ปาฏิหาริย์รักหยกวิเศษ

    • By FINN
    • June 16, 2024
    • 9 views
    Jade’s Fateful Love (2024) ปาฏิหาริย์รักหยกวิเศษ

    Deep Love Love Again (2024) ปมรักในรอยแค้น

    • By FINN
    • June 15, 2024
    • 13 views
    Deep Love Love Again (2024) ปมรักในรอยแค้น