วิธีเจริญกรรมฐาน 40 กอง สามารถแบ่งออกเป็น 7 หมวด ดังนี้ หมวดที่ 1: หมวดกสิน 10 เป็นการทำสมาธิด้วยวิธีการเพ่ง กล่าวคือ
- ปฐวีกสิน คือการเพ่งไปที่ ธาตุดิน
- อาโปกสิณ คือการเพ่งไปที่ ธาตุน้ำ
- เตโชกสิณ คือการเพ่งไปที่ ธาตุไฟ
- วาโยกสิน คือการเพ่งไปที่ ธาตุลม
- นีลกสิน คือการเพ่งไปที่ สีเขียว
- ปีตกสิน คือการเพ่งไปที่ สีเหลือง
- โลหิตกสิณ คือการเพ่งไปที่ สีแดง
- โอฑาตกสิณ คือการเพ่งไปที่ สีขาว
- อาโลกกสิณ คือการเพ่งไปที่ แสงสว่าง
- อากาศกสิณ คือการเพ่งไปที่ อากาศ
หมวดที่ 2: หมวดอสุภกรรมฐาน 10 เป็นการตั้งอารมณ์ไว้ให้เห็นว่า ไม่มีอะไรสวยงาม งดงาม มีแต่สิ่งสกปรกโสโครก น่าเกลียด โดยพิจารณา ดังนี้
- อุทธุมาตกอสุภ ร่างกายของคนและสัตว์ที่ตายไปแล้ว นับแต่วันตายเป็นต้นไป มีร่างกายบวมขึ้น พองไปด้วยลม ขึ้นอืด
- วินีลกอสุภ วีนีลกะ แปลว่า สีเขียว เป็นร่างกายที่มีสีเขียว สีแดง สีขาว คละปนระคนกัน คือ มีสีแดงในที่มีเนื้อมาก มีสีขาวในที่มีน้ำเหลืองน้ำหนองมาก มีสีเขียวในที่มีผ้าคลุมไว้ ฉะนั้นตามร่างกายของผู้ตาย จึงมีสีเขียวมาก
- วิปุพพกอสุภกรรมฐาน เป็นซากศพที่มีน้ำเหลืองไหลอยู่เป็นปกติ
- วิฉิททกอสุภ คือซากศพที่มีร่างกายขาดเป็นสองท่อนในท่ามกลางกาย
- วิกขายิตกอสุภ เป็นร่างกายของซากศพที่ถูกยื้อแย่งกัดกิน
- วิกขิตตกอสุภ เป็นซากศพที่ถูกทอดทิ้งไว้จนส่วนต่าง ๆ กระจัดกระจาย มีมือ แขน ขา ศีรษะ กระจัดพลัดพรากออกไปคนละทาง
- หตวิกขิตตกอสุภ คือ ซากศพที่ถูกสับฟันเป็นท่อนน้อยและท่อนใหญ่
- โลหิตกอสุภ คือ ซากศพที่มีเลือดไหลออกเป็นปกติ
- ปุฬุวกอสุภ คือ ซากศพที่เต็มไปด้วยตัวหนอนคลานกินอยู่
- อัฏฐิกอสุภ คือ ซากศพที่มีแต่กระดูก
หมวดที่ 3: อนุสสติกรรมฐาน 10 – คำว่า “อนุสสติ” แปลว่า ตามระลึกถึง เมื่อเลือกปฏิบัติให้พอเหมาะแก่จริต จะได้ผลเป็นสมาธิมีอารมณ์ ตั้งมั่นได้รวดเร็ว
- พุทธานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึง คุณพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์
- ธัมมานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึง คุณพระธรรมเป็นอารมณ์
- สังฆานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึง คุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์
- สีลานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึง คุณศีลเป็นอารมณ์
- จาคานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึง ผลของการบริจาคเป็นอารมณ์
- เทวตานุสสติเป็นกรรมฐาน ระลึกถึง ความดีของเทวดาเป็นอารมณ์
- มรณานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึง ความตายเป็นอารมณ์
- กายคตานุสสติกรรมฐาน เหมาะแก่ผู้ที่หนักไปในจาคะจริต
- อานาปานานุสสติกรรมฐาน เหมาะแก่ผู้ที่หนักไปในโมหะ และวิตกจริต
- อุปสมานุสสติกรรมฐาน ระลึกความสุขในพระนิพพานเป็นอารมณ์
หมวดที่ 4: หมวดอาหาเรปฏิกูลสัญญา
- อาหาเรปฏิกูลสัญญา คือ การเพ่งอาหารให้เห็นเป็นของน่าเกลียด บริโภคเพื่อบำรุงร่างกาย ไม่บริโภคเพื่อสนองกิเลส
หมวดที่ 5: หมวดจตุธาตุววัฏฐาน
- จตุธาตุววัฏฐาน 4 พิจารณาร่างกายประกอบด้วยธาตุ 4 ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ
หมวดที่ 6: หมวดพรหมวิหาร 4
คำว่า “พรหมวิหาร” แปลว่า ธรรมเป็นที่อยู่ของพรหม
พรหม แปลว่า ประเสริฐ
ดังนั้น “พรหมวิหาร 4” จึงแปลว่า คุณธรรม 4 ประการ ที่ทำให้ผู้ประพฤติปฏิบัติเป็นผู้ประเสริฐ ได้แก่
- เมตตา – คุมอารมณ์ไว้ตลอดวัน ให้มีความรัก อันเนื่องด้วยความปรารถนาดี ไม่มีอารมณ์เนื่องด้วยกามารมณ์ เมตตาสงเคราะห์ผู้อื่นให้พ้นทุกข์
- กรุณา – ความสงสารปรานี มีประสงค์จะสงเคราะห์แก่ทั้งคนและสัตว์
- มุทิตา – มีจิตชื่นบาน พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี ไม่มีจิตริษยาเจือปน
- อุเบกขา – มีอารมณ์เป็นกลางวางเฉย
หมวดที่ 7: อรูปฌาณ 4
เป็นการปล่อยอารมณ์ ไม่ยึดถืออะไร มีผลทำให้จิตว่าง มีอารมณ์เป็นสุขประณีต ในฌานที่ได้ ผู้จะเจริญอรูปฌาณ 4 ต้องเจริญฌานในกสินให้ได้ฌาณ 4 เสียก่อน แล้วจึงเจริญอรูปฌาณจนจิตเป็นอุเบกขารมณ์ คือ
- อากาสานัญจายตนะ ถือ อากาศเป็นอารมณ์ จนวงอากาศเกิดเป็นนิมิตย่อใหญ่เล็กได้ ทรงจิตรักษาอากาศไว้ กำหนดใจว่าอากาศหาที่สุดมิได้ จนจิตเป็นอุเบกขารมณ์
- วิญญาณัญจายตนะ กำหนดวิญญาณหาที่สุดมิได้ ทิ้งอากาศและรูปทั้งหมด ต้องการจิตเท่านั้น จนจิตเป็นอุเบกขารมณ์
- อากิญจัญญายตนะ กำหนดความไม่มีอะไรเลย อากาศไม่มี วิญญาณก็ไม่มี ถ้ามีอะไรสักหน่อยหนึ่งก็เป็นเหตุของภยันตราย ไม่ยึดถืออะไรจนจิตตั้งเป็นอุเบกขารมณ์
- เนวสัญญานาสัญญายตนะ ทำความรู้สึกตัวเสมอว่า ทั้งที่มีสัญญาอยู่ก็ทำเหมือนไม่มี ไม่รับอารมณ์ใด ๆ จะหนาว ร้อนก็รู้แต่ไม่ดิ้นรนกระวนกระวาย ปล่อยตามเรื่อง เปลื้องความสนใจใด ๆ ออกจนสิ้น จนจิตเป็นอุเบกขารมณ์