ตอนที่ 13: พระพุทธศาสนา เรื่อง ที่มา คิริมานนทสูตรและความหมาย

เอวมฺเม สุตํ เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ
เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม ตตฺรโข อายสฺมา คิริ
มานนฺโท อาพาธิโก โหตีติ.

ความเป็นมาของคิริมานนทสูตร
บัดนี้จักแสดงพระสูตรอันหนึ่ง อันโบราณาจารย์เจ้าหากกำหนดไว้ว่าคิริมานนทสูตร อ้างเนื้อความว่า ครั้งปฐมสังคายนาพระมหาสังคาหกเถรเจ้าทั้งหลาย 500 องค์ หย่อนโอกาสไว้ให้พระอานนท์องค์หนึ่ง ได้เข้ามาสู่ที่ประชุมพร้อมแล้ว คอยพระอานนท์องค์เดียวกำลังเจริญสมถวิปัสสนาอยู่ยังไม่ได้สำเร็จพระอรหันต์

ครั้นพระอานนท์เถรเจ้าได้สำเร็จพระอรหันต์แล้ว ก็เข้าจตุตถฌาน เอาปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ ไปปรากฏบนอาสนะท่ามกลางสงฆ์ให้พระสงฆ์สิ้นความสงสัยในอรหันตคุณที่ถ้ำสัตตบัณณคูหา ปฏิญาณตนในอเสขภูมิ ด้วยประการฉะนี้แล้ว

พระมหาสังคาหกเถรเจ้าทั้งหลายมีพระมหากัสสปะเป็นประธาน จึงได้อาราธนาเชื้อเชิญให้พระอานนท์ขึ้นนั่งเหนือธรรมาสน์ แสดงพระสุตตันตปิฎก ยกคิริมานนทสูตรนี้ขึ้นเป็นหัวข้อ

พระมหากัสสปะเถรเจ้าจึงถามพระอานนท์ว่า
อานนฺท ดูกรอานนท์ พระสูตร
อันชื่อว่าคิริมานนทสูตรนั้น
พระพุทธเจ้าแสดงแก่บุคคลผู้ใด
แลตรัสเทศนา ณ ที่ไหน
ปรารภอะไรให้เป็นเหตุจึงได้ตรัสเทศนา
มีวิตถารพิสดารอย่างไร?
ขอให้พระอานนท์เจ้าจงแสดงต่อไป ในกาลบัดนี้.

พระคิริมานนท์อาพาธหนัก ขอพระพุทธองค์สงเคราะห์ ให้ทุกขเวทนาหาย

อถ โข อายสฺมา อานนทฺโท 

ลำดับนั้น พระอานนท์เถรเจ้าผู้นั่งอยู่บนธรรมาสน์ได้โอกาสแต่พระสงฆ์แล้ว จึงวิสัชนาพระสูตรนี้ มีคำปฏิญญาในเบื้องต้นว่า       

เอวมฺเม สุตํ (เอวังเมสุตัง)

ดังนี้ ข้าพเจ้าผู้มีชื่อว่าอานนท์ หากได้สดับมาแต่ …
กล่าวคือ พระโอษฐ์แห่งพระพุทธเจ้าดำเนินความว่า เอกํสมยํ สมัยกาลคาบหนึ่ง พระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จสำราญพระอิริยาบถอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร อันเป็นอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย ใกล้กรุงสาวัตถี

ในกาลครั้งนั้น พระผู้เป็นเจ้าชื่อว่า คิริมานนทเถระ ผู้มีอายุ อาพาธิโก เกิดอาพาธหนัก เหลือกำลังที่จะอดกลั้น
    พระผู้เป็นเจ้า จึงให้เชิญข้าพเจ้าผู้ชื่อว่าอานนท์เข้าไปยังสำนัก
แห่งตนแล้วจึงกล่าวว่า
    อานนฺท ดูกรอานนท์ ข้าพเจ้าผู้ชื่อว่าคิริมานนท์นี้ บังเกิดอาพาธหนักเหลือกำลังที่จะอดกลั้นไม่สามารถจะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าได้
    ขอนิมนต์ท่านอานนท์นำเอาอาการอาพาธอันร้ายแรงแห่งข้าพเจ้าไปกราบทูลให้สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ เพื่อทรงมหากรุณาสงเคราะห์ให้ทุกขเวทนาเจ็บปวด ซึ่งเบียดเบียนอยู่ในร่างกาย ของข้าพเจ้าผู้มีชื่อว่า คิริมานนท์นี้ระงับอันตรธานหายเถิด
    ข้าพเจ้าผู้มีชื่อว่าอานนท์รับเถรวาทีแล้ว ก็เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลอาการแห่งอาพาธแลทุกขเวทนาตามคำสั่งของพระคิริมานนท์ให้ทรงทราบทุกประการ.

หลักคำสอนที่ 1
ละรูปนามเพราะเป็นของนอกกายและคุมไม่ได้

    อถ โข ในกาลครั้งนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อได้ทรงทราบอาการแห่งพระผู้เป็นเจ้าคิริมานนท์ดังนี้แล้ว จึงตรัสแก่ข้าฯ ว่า อานนฺท ดูกรอานนท์ ท่านจงกลับคืนไปสู่สำนักของท่านคิริมานนท์โดยเร็ว แล้วพระองค์ตรัสต่อไปว่า
    วิสุทฺธจิตฺเต อานนฺท เทฺว สญฺญา สุตฺวา โส
    อาพาโธ ฐานโส ปฏิปสฺสมฺเภยฺย ดังนี้
    ดูกรอานนท์ เมื่อท่านไปถึงสำนักพระคิริมานนท์แล้ว
    ท่านจงไปบอกสัญญา ๒ ประการ คือ
    รูปสัญญา ๑ นามสัญญา ๑
    คือรูป ร่างกาย ตัวตน ทั้งสิ้นก็ดี
    คือนาม ได้แก่ จิต เจตสิก ทั้งหลายก็ดี
    ให้ปลงลงธุระเสีย อย่าถือว่า
    รูปร่างกาย จิต เจตสิก เป็นตัวตน
    แลอย่าเข้าใจว่า เป็นของๆ ตน
    ทุกสิ่งทุกอย่างความจริง หากเป็นของภายนอกสิ้นทั้งนั้น
        ดูกรอานนท์ ถ้าหากว่ารูปร่างกายเป็นตัวตนเราแท้ เมื่อเขาแก่เฒ่าชราตามัว หูหนวก เนื้อหนังเหี่ยวแห้ง ฟันโยกคลอน เจ็บปวดเหล่านั้น เราก็จักบังคับได้ตาม ประสงค์ว่า อย่าเป็นอย่างนั้น อย่าเป็นอย่างนี้ นี่เราบังคับไม่ได้ตามประสงค์ว่า เขาจะเจ็บ จะไข้ จะแก่ จะตาย เขาก็เป็นไปตามหน้าที่ของเขา เราหมดอำนาจที่จะบังคับบัญชาได้ เมื่อตายเราจะพาเอาไปสักสิ่งสักอันก็ไม่ได้ ถ้าเป็นตัวตนของเราแล้ว เราก็คงจะพาเอาไปได้ตามความปรารถนา
    ดูกรอานนท์ ถึงจิตเจตสิกเป็นของเรา ก็ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของๆ ตน หากว่าจิตเจตสิกเป็นเรา หรือเป็นของเรา ก็จักบังคับได้ตามประสงค์ว่า จิตของเราจงเป็นอย่างนี้ จงเป็นอย่างนั้น จงสุขสำราญทุกเมื่อ อย่าทุกข์อย่าร้อนเลย ดังนี้ ก็จักพึงได้ตามความปรารถนา นี่หาเป็นเช่นนั้นไม่ เขาจะคิดอะไรเขาก็คิดไป เขาจะอยู่จะไปก็ตามเรื่องของเขา
    เพราะเหตุร่างกาย จิตใจ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของๆ ตน ให้ปลงธุระเสีย อย่าเข้าใจถือเอาว่าเป็นตัวตน แลของๆ ตนเถิด
    ดูกรอานนท์ ท่านจงไปบอกซึ่งสัญญาทั้งสองประการ
    คือ รูป แลนามนี้ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน แลไม่ใช่ของๆ ตน
ให้พระคิริมานนท์แจ้งทุกประการ เมื่อพระคิริมานนท์แจ้งแล้ว อาพาธ ความเจ็บปวด แลทุกขเวทนา ก็จักหายจากสรีระร่างกายแห่งพระคิริมานนท์ สิ้นเสร็จหาเศษบ่มิได้ จักหายโดยรวดเร็วด้วย
    ภนฺเต อริยกสฺสป ข้าแต่พระอริยกัสสปะผู้เป็น
ประธานในสงฆ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่ข้าฯ ผู้ชื่อว่า
อานนท์ ด้วยประการดังนี้แล.

หลักคำสอนที่ ๒
ละอัตตาด้วยการพิจารณาอัฏฐิกสัญญา
มรณสติ/อสุภนุสสติ

    ตทนนฺตรํ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเทศนาแก่ข้าฯ สืบต่อไปว่า อานนฺท ดูกรอานนท์ ตัวตนเราก็ดี ตัวตนแห่งผู้อื่นก็ดี ตัวตนแห่งสัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายก็ดี ก็มีอยู่แต่กองกระดูกสิ้นด้วยกันเสมอกัน ทุกตัวคนแลสัตว์จะหาสิ่งใด เป็นแก้ว เป็นแหวน เป็นแท่งเงินแท่งทองแต่สักสิ่งสักอันก็หาไม่ได้ จะหาเอาอันใดเป็นตัวเป็นตน เป็นจิตเป็นเจตสิกแห่งบุคคลผู้ใดสักอันหนึ่งก็ไม่มี ล้วนเป็นอนัตตาหาแก่นสารมิได้
    บุคคลหญิงชายคฤหัสถ์ นักบวชทั้งหลายมาพิจารณาเห็นแจ้งชัดในรูปนาม จิตเจตสิกโดยเป็นอนัตตา ดังนี้แล้ว ก็จักมีอานิสงส์ไม่มีส่วนที่จะพึงประมาณได้เหมือนดังสุภัททสามเณร ท่านพิจารณาแต่คำว่า อฏฺฐิมิญฺชํ ท่านถือเอาเยื่อในกระดูกเท่านั้น หรืออัฏฐิกสัญญาอย่างเดียวเป็นอารมณ์ ก็ผ่องใส รุ่งเรือง เห็นแจ้งในร่างกายของตนจนได้บรรลุธรรมวิเศษ เหตุถือเอาอัฏฐิกสัญญา เป็นอารมณ์เห็นอนัตตาแจ่มแจ้งด้วยประการดังนี้
    ดูกรอานนท์
    มรณสัญญา พิจารณาความตายก็ดี
    อัฏฐิกสัญญา พิจารณากองกระดูกก็ดี
    ปฏิกูลสัญญา พิจารณาร่างกายนี้ โดยเป็นของพึงน่าเกลียด น่าสะอิดสะเอียนเต็มไปด้วยหมู่หนอนแลจุลอินทรีย์ทั้งหลายเป็นอันมาก ตามลำไส้น้อยไส้ใหญ่ ตามเส้นเอ็นทั่วไปในร่างกาย
แลเต็มไปด้วยเครื่องเน่าของเหม็น มีอยู่ในร่างกายนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างใน ร่างกายนี้นับว่าเป็นของเปล่าไม่มีอะไรเป็นของเราสักสิ่งสักอัน
    เกิดมาสำคัญว่าเป็นสุข ความจริงก็สุขไปอย่างนั้นเอง
ถ้าจะให้ถูกแท้ต้องกล่าวว่าเกิดมาเพื่อทุกข์ เกิดมาเจ็บ เกิด
มาไข้ เกิดมาเป็นพยาธิเจ็บปวด เกิดมาแก่ เกิดมาตาย เกิด
มาพลัดพรากจากกัน เกิดมาหาความสุขมิได้ ความสุขนั้น
ถ้าพิจารณาดูให้ละเอียดแล้ว มีน้อยเหลือประมาณไม่พอแก่
ความทุกข์
    นอนหลับนั้นแลนับว่าเป็นความสุข แต่เมื่อมาพิจารณาดูให้ละเอียดแล้ว ซ้ำเป็นทุกข์ไปเสียอีก ถ้าผู้ใดพิจารณาเห็นตามดังเราตถาคตแสดงมานี้ เป็นนิมิตอันหนึ่ง ครั้นจดจำได้แน่นอนในตนแล้ว ก็เป็นเหตุให้ได้มรรคผลนิพพานในปัจจุบันนี้โดยไม่ต้องสงสัย
    ดูกรอานนท์
    นักปราชญ์ทั้งหลายผู้ฉลาดด้วยปัญญา ท่านบำเพ็ญ อสุภนุสสติกรรมฐาน ปรารถนาเอาพระนิพพานเป็นที่ตั้งนั้น ท่านย่อมถือเอาอสุภะในตัว เป็นอารมณ์ของกรรมฐาน
    ถ้ายังเอาอสุภะภายนอกเป็นอารมณ์ ยังไม่เต็มทางปัญญา
เพราะยังอาศัยสัญญาอยู่ ถ้าเอาอสุภะในตัวเป็นอารมณ์ของกรรมฐาน จึงเป็นที่สุดแห่งทางปัญญา เป็นตัววิปัสสนาญาณได้
    ดูกรอานนท์ บุคคลผู้ใดปรารถนาพระนิพพาน จงทำอสุภกรรมฐานในตนให้เห็นแจ้งชัดเถิด ครั้นไม่เห็น ก็ให้พิจารณาปฏิกูลสัญญาลงในตนว่า แม้ตัวของเรานี้ ถึงยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นของน่าพึงเกลียดพึงเบื่อหน่ายยิ่งนัก ถ้าหากว่าไม่มีหนังหุ้มห่อไว้แล้ว ก็จะพึงเป็นของน่าเกลียดเหมือนอสุภะแท้ หากมีหนังหุ้มห่อไว้จึงพอดูได้ อันที่แท้ตัวตนแห่งเรานี้ จะตั้งอยู่ได้ก็ด้วยลมอัสสาสะ ปัสสาสะเท่านั้น ถ้าขาดลมหายใจเข้าออกแล้ว ตัวตนนี้ก็จักเน่าเปื่อยผุพังไป แต่นั้นก็จักเป็นอาหารแห่งสัตว์ทั้งหลาย มีหนอน เป็นต้น จักมาเจาะไชกิน
    ส่วนลมหายใจเข้าออกซึ่งเป็นเจ้าชีวิตนั้นเล่า ก็เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ของของตัว เขาอยากอยู่ เขาก็อยู่ เขาอยากดับ เขาก็ดับ เราจะบังคับบัญชาไม่ได้ตามปรารถนา
    ถ้าขาดลมหายใจเข้าออกแล้ว ความสวยงามในตน แลความ
สวยความงามภายนอก คือ บุตรภรรยาแลข้าวของเงินทอง
เครื่องอุปโภคบริโภคทั้งปวง ก็ย่อมหายไปสิ้นด้วยกันทั้งนั้น
เหลียวซ้ายแลขวา จะได้เห็นบุตรภรรยาแลนัดดาหามิได้ ต้อง
อยู่คนเดียวในป่าช้า หาผู้ใดจักเป็นเพื่อนมิได้
    ดูกรอานนท์
    บุคคลผู้ใดมาพิจารณา เห็นอสุภกรรมฐาน ๓๒ โกฏฐาส
เห็นซากผีดิบในตนชื่อว่าได้ถือเอาความสุขในทางพระนิพพาน
    วิธีเจริญอสุภกรรมฐานตามลำดับ คือให้ปลงจิตลงในเกสา ให้เห็นเป็นอสุภะ แล้วให้สำคัญในเกสานั้นว่า เป็นอนัตตา แล้วให้เอาโลมา ตั้งลงปลงจิตให้เป็นอสุภะ เป็นอนัตตา แล้วเอา นขา ทันตา ตั้งลงปลงจิตให้เห็นเป็นอสุภะเป็นอนัตตา แล้วให้เอา ตโจ ตั้งลงตามลำดับไป จนถึงมัตถเก มัตถลุงคัง เป็นที่สุด พิจารณาให้เห็นเป็นอสุภะ เป็นอนัตตา โดยนัยเดียวกัน
    ดูกรอานนท์ เราตถาคตแสดงมานี้โดยพิสดาร ให้กว้างขวางทั้งเบื้องต้นแลเบื้องปลาย แท้จริงบุคคลผู้มีปัญญารู้แล้ว ก็ให้สงเคราะห์ลงใน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เท่านั้น
    บุคคลผู้มีปัญญาจะเจริญอสุภกรรมฐาน ท่านมิได้เจริญแต่ต้นลำดับไปจนถึงปลาย เพราะเป็นการเนิ่นช้า ท่านยกอาการอันใดอันหนึ่งขึ้นพิจารณา สงเคราะห์ลงในอนิจจังทุกขัง อนัตตา ท่านก็ย่อมได้ถึงมรรคผลนิพพานโดยสะดวก.

เจริญอสุภกรรมฐานเพื่อพ้นจากกิเลสตัณหา

    การที่เจริญอสุภกรรมฐานนี้ ก็เพื่อจะให้เบื่อหน่ายในร่างกายของตน อันเห็นว่าเป็นของสวยของงาม ทั้งวัตถุภายนอกแลภายในให้เห็นเป็นของเปื่อยเน่าผุพัง จะได้ยกตนให้พ้นจากกิเลสตัณหา ผู้มีปัญญารู้แล้วไม่ควรชื่นชมยินดี ในรูปตนแลรูปผู้อื่น ทั้งรูปหญิงรูปชาย
    ทั้งวัตถุข้าวของดีงามประณีตบรรจงอย่างใดอย่างหนึ่งเลย เพราะว่าความรักทั้งปวงนั้นเป็นกองกิเลสทั้งสิ้น ถ้าห้ามใจให้ห่างจากกองกิเลสได้ จึงจะได้รับความสุขทั้งชาตินี้แลชาติหน้า ถ้าหากใจยังพัวพันอยู่ในกองกิเลสแล้ว ถึงแม้จะได้รับความสุขสบายก็เพียงชาตินี้เท่านั้น เบื้องหน้าต่อไปไม่มีทางที่จะได้เสวยสุข มีแต่ได้เสวยทุกข์โดยถ่ายเดียว
    ผู้มีปัญญาเมื่อได้เจริญอสุภนุสสติกรรมฐาน เอาวัตติงสาการ ๓๒ เป็นอารมณ์ ก็ควรละกองกิเลสตัณหาให้ขาดสูญ เมื่อรู้แล้ว
ปฏิบัติตาม จึงจะเป็นผลเป็นกุศลต่อไป เมื่อรู้แล้วไม่ปฏิบัติ
ตามก็หาผลอานิสงส์มิได้ เพราะละกิเลสตัณหามิได้ เปรียบ
เหมือนบุคคลผู้ตกเข้าไปในกองเพลิง เมื่อรู้ว่าเป็นกองเพลิง
ก็รีบหลีกหนีออก จึงจะพ้นความร้อน ถ้ารู้ว่าตัวตกเข้าอยู่ใน
กองเพลิง แต่มิได้พยายามที่จะหลีกหนี จะพ้นจากความร้อน
ความไหม้อย่างไรได้ ข้ออุปมานี้ฉันใด บุคลผู้รู้แล้วว่าสิ่งนี้
เป็นโทษ แต่มิได้ละเสียก็มิได้พ้นจากโทษเหมือนกับผู้ไม่พ้น
จากกองเพลิง ฉะนั้น
    ดูกรอานนท์ ผู้รู้แล้วและมิได้ทำตามนั้น จะนับว่าเป็นคนรู้ไม่ได้ เพราะไม่เกิดมรรคเกิดผลสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยเรา
    ตถาคตอนุญาตตั้งศาสนาธรรมคำสอนไว้นี้ ก็เพื่อว่าเมื่อรู้
แล้วว่าสิ่งใดเป็นโทษให้ละเสีย มิได้ตั้งไว้เพื่ออ่านเล่น ฟัง เล่น
พูดเล่น เท่านั้นเลย
    บุคคลทั้งหลายได้เสวยทุกข์ในมนุษย์แลในอบายภูมินั้น ไม่ใช่สิ่งอื่นเลย เป็นเพราะกิเลส ราคะ ตัณหา นั้นอย่างเดียว ถ้าบุคคลผู้ยังไม่พ้นจากกิเลส ราคะ ตัณหาได้ตราบใด ก็ยังไม่เป็นผู้พ้นจากอบายทุกข์ได้จนตราบนั้น
    บุคคลผู้มิได้พ้นจากกิเลส ราคะ ตัณหา นั้น จะทำบุญให้ทานสร้างกุศลอย่างแข็งแรงเท่าใดก็ดี ก็จักได้เสวยความสุขในมนุษยโลกและเทวโลกเพียงเท่านั้น ที่จะได้เสวยสุขในพระนิพพานนั้นเป็นอันไม่ได้เลย
    ถ้าประสงค์ต่อพระนิพพานแท้ให้โกนเกล้าเข้าบวชในพระศาสนาไม่ว่าบุรุษหญิงชายถ้าทำได้อย่างนี้ ชื่อว่าปฏิบัติใกล้ต่อพระนิพพาน เพราะว่าเมืองนิพพานนั้นปราศจากกิเลสตัณหา เมืองมนุษย์แลเมืองสวรรค์เป็นที่ทรงไว้ซึ่งกิเลสตัณหา ไม่เหมือนเมืองพระนิพพาน ผู้มีปัญญาเมื่อปรารถนาความสุขในพระนิพพาน จง
ออกบวชในพระพุทธศาสนา แล้วตั้งใจเจริญสมถวิปัสสนาอย่าให้หลงโลกหลงทาง ถ้าไม่รู้ทางพระนิพพานมีแต่ตั้งหน้าปรารถนาเอาเท่านั้น ก็จักหลงขึ้นไปในอรูปพรหม ชื่อว่าหลงโลกหลงทางไปในภพต่างๆ ให้ห่างจากพระนิพพานไป
    การทำบุญกุศลทั้งหลายนั้น มิใช่ว่าจะทำให้บุญนั้นพาไปในที่อื่น ทำเพื่อระงับกิเลสอย่างเดียว อย่าเข้าใจว่าทำบุญกุศลแล้ว บุญกุศลนั้นจักยกเอาตัวนำเข้าไปสู่พระนิพพานเช่นนั้นหามิได้ ทำเพื่อระงับกิเลสตัณหา แล้วจึงจักไปพระนิพพานได้ กิเลสตัณหานั้นมีอยู่ที่ตัวของเรา ถ้าเราไม่ทำให้ดับ ใครจะมาช่วยดับได้ ต้นเหง้าเค้ามูลของกิเลสตัณหาอยู่ที่เรา ถ้าเราดับไม่ได้ ก็ไม่ถึงซึ่งความสุขในพระนิพพานเท่านั้น.

หลักคำสอนที่ ๓
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นทางไปพระนิพพาน

    ตทนนฺตรํ ในลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า อานนฺท ดูกรอานนท์
    นิพฺนานํ นครํ นาม อันชื่อว่าเมืองพระนิพพานย่อมตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลก โลกมีที่สุดเพียงใด พระนิพพานก็ตั้งอยู่ที่สุดเพียงนั้น พระนิพพานเป็นพระมหานครอันยิ่งใหญ่ เป็นที่บรมสุข หาที่
เปรียบมิได้คำว่า ที่สุดแห่งโลกนั้น จะถือเอาอากาศโลกหรือ
จักรวาลโลกเป็นประมาณนั้นมิได้ อากาศโลกแลจักรวาลโลก
นั้นมีที่สุด เบื้องตำ่ก็เพียงใต้แผ่นดิน แผ่นดินนี้มีนำ้รอง ใต้นำ้
นั้นมีลม ลมนั้นหนาได้ ๙ แสน ๔ หมื่นโยชน์ สำหรับรองน้ำ
ไว้ ใต้ลมนั้นลงไปเป็นอากาศหาที่สุดมิได้ ที่สุดโลกเบื้องตำ่
ก็เพียงลมเท่านั้น
    อันว่าที่สุดแห่งจักรวาลโลกเบื้องขวางนั้นมีอนันตจักรวาลเป็นเขต นอกอนันตจักรวาลออกไปก็เป็นอากาศว่างๆ อยู่ จึงว่าโดยขวาง มีอนันตจักรวาลเป็นที่สุด
    อันว่าที่สุดแห่งจักรวาลโลกเบื้องบนนั้น มีอรูปพรหมเป็นเขต เพราะอรูปพรหม ๔ ชั้นนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นนิพพานพรหมหรือนิพพานโลกนิพพานโลกนี้เป็นที่ไม่สิ้นสุด ส่วนว่านิพพาน
ของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีนามว่า โลกุตรนิพพาน เป็นนิพพานที่สุดที่แล้วต่ออรูปพรหม ๔ ชั้นขึ้นไปก็เป็นแต่อากาศว่างๆ อยู่
จึงว่าที่สุดเบื้องบนเพียงอรูปพรหมเท่านั้น จะเข้าใจเอาเอง
ว่าลมรองน้ำแลอนันตจักรวาล แลอรูปพรหมเป็นที่สุดของ
โลก เมืองพระนิพพานคงตั้งอยู่ในที่สุดของโลกเหล่านั้น ดัง
นี้ พระพุทธเจ้าตรัสห้ามเสียว่า อย่าพึงเข้าใจอย่างนั้นเลย
    ที่ทั้งหลายเหล่านั้นใครๆ ก็ไม่สามารถจักไปถึง ด้วยกำลังกาย
หรือด้วยกำลังพาหนะ มียานช้าง ยานม้าได้ อย่าเข้าใจว่าเมืองนิพพานตั้งอยู่บนที่สุดของโลกเหล่านั้น หรือตั้งอยู่ในที่
แห่งนั้นแห่งนี้ อย่าเข้าใจว่าตั้งอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเลย แต่ว่าพระนิพพานนั้น หากมีอยู่ในที่สุดของโลกเป็นของจริง ไม่ต้องสงสัย
ให้ท่านทั้งหลายศึกษาให้เห็นโลก รู้โลกเสีย ให้ชัดเจนก็จักเห็นพระนิพพาน พระนิพพานตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลกนั้นเอง.

การถึงพระนิพพาน คือการพ้นทุกข์
 
     ดูกรอานนท์
    บุคคลทั้งหลายถึงที่สุดของโลก ออกจากโลกได้แล้ว
จึงชื่อว่าถึงพระนิพพานแลรู้ตนว่าเป็นผู้พ้นทุกข์แล้ว แลอยู่สุขสำราญบานใจทุกเมื่อ หาความเร่าร้อน โศกเศร้า เสียใจ มิได้
    ถ้าผู้ใดยังไม่ถึงที่สุดโลก ยังออกจากโลกไม่ได้ตราบใด ก็ชื่อว่ายังไม่ถึงพระนิพพาน จะต้องทนทุกข์น้อยใหญ่ทั้งหลาย เกิดๆ ตายๆ กลับไปกลับมาหาที่สุดมิได้อยู่ตราบนั้น
    บุคคลทั้งหลายเป็นผู้ต้องการพระนิพพาน แต่หารู้ไม่ว่าพระ
นิพพานนั้นเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน ชั้นแต่ทาน ศีล สมาธิ
ปัญญา อันเป็นทางจะไปสู่พระนิพพานก็ไม่เข้าใจ เมื่อไม่รู้ไม่
เห็นไม่เข้าใจแล้ว จักไปสู่พระนิพพานนั้น ก็เป็นการลำบาก
ยิ่งหนักหนา เปรียบเหมือนคน ๒ คน ผู้หนึ่งตาบอด ผู้หนึ่ง
ตาดี จะว่ายข้ามน้ำมหานทีอันกว้างใหญ่ ในคนทั้ง ๒ นั้น
ผู้ใดจักถึงฝั่งข้างโน้นก่อน คนผู้ตาดีต้องถึงก่อน ส่วนคนผู้
ตาบอดนั้น จะว่ายข้ามไปถึงฝั่งฟากโน้นได้แสนยากแสน
ลำบาก บางทีจะตายเสียในท่ามกลางแม่น้ำ เพราะไม่รู้ไม่
เห็นว่าฝั่งอยู่ที่ไหน
    ข้ออุปมานี้ฉันใด คนไม่รู้แจ้งว่าพระนิพพานอยู่ที่ไหน
เป็นอย่างไร ทางจะไปก็ไม่เข้าใจ เป็นแต่อยากได้อยากไปถึง
พระนิพพาน เมื่อเป็นเช่นนั้น การได้การถึงของผู้นั้นก็ต้อง
เป็นของลำบากยากแค้นอยู่เป็นธรรมดา บางทีจะตายเสีย
เปล่า จักไม่ได้เห็นเงื่อนเค้าของพระนิพพานเลย
    ผู้ศึกษาพึงเข้าใจว่าพระนิพพานอยู่ที่สุดของโลก ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นทางไปพระนิพพาน ถ้ารู้อย่างนี้ยังมีทางที่จะถึงพระนิพพานได้บ้าง แม้เมื่อรู้แล้วอย่างนั้น ก็จำต้องพากเพียรพยายามเต็มที่จึงจะถึง เหมือนคนตาดีว่ายข้ามน้ำ ก็ต้องพยายามจนสุดกำลังจึงจะข้ามพ้นได้ มีอุปไมยเหมือนกัน ฉะนั้น.

ผู้ปรารถนาพระนิพพานต้องศึกษาให้รู้แจ้ง

    ดูกรอานนท์ บุคคลทั้งหลายผู้ปรารถนาพระนิพพาน ควรศึกษาให้รู้แจ้ง ครั้นรู้แจ้งแล้วจักถึงก็ตาม ไม่ถึงก็ตาม ก็ไม่เป็นทุกข์แก่ใจ ถ้าไม่รู้แต่อยากได้ ย่อมเป็นทุกข์มากนัก เปรียบเหมือนบุคคลอยากได้วัตถุสิ่งหนึ่ง แต่หากไม่รู้จักวัตถุสิ่งนั้น ถึงวัตถุสิ่งนั้นจะมีอยู่ในที่จำเพาะหน้าก็ไม่อาจถือเอาได้ เพราะไม่รู้ ถึงจะมีอยู่ก็มีเปล่าๆ ส่วนตัวก็ไม่หายความอยากได้ จึงเป็นทุกข์ยิ่งนัก
    ผู้ปรารถนาพระนิพพาน แต่ไม่รู้จักพระนิพพานก็เป็นทุกข์เช่นนั้น จะถือเสียว่าไม่รู้ก็ช่างเถอะ เราปรารถนาเอาคงจะได้ คิดอย่างนั้นก็ผิดไป ใช้ไม่ได้ แม้แต่ผู้รู้แล้วตั้งหน้าบากบั่นขวนขวายจะให้ได้ให้ถึง ก็ยังเป็นการยากลำบากอย่างยิ่ง บุคคลผู้ไม่รู้ไม่เห็นพระนิพพานและจะถึงพระนิพพาน จักมีมาแต่ที่ไหน
    อย่าว่าแต่พระนิพพานเลย แม้จะกระทำการสิ่งใดก็ดี เป็นต้นว่า ช่างเงิน ช่างทอง ช่างเหล็ก ช่างไม้ ช่างวาดเขียนต่างๆ เป็นต้น ต้องรู้ด้วยใจหรือเห็นด้วยตาเสียก่อนจึงจะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จได้ ผู้ปรารถนาพระนิพพานก็ต้องศึกษาให้รู้จักพระนิพพานไว้ก่อนจึงจะได้ จะมาตั้งหน้าปรารถนาเอาโดยความไม่รู้นั้น จะมีทางได้มาแต่ที่ไหน
    ดูกรอานนท์
    บุคคลทั้งหลายควรจะศึกษาให้รู้แจ้งคลองแห่งพระนิพพานไว้ให้ชัดเจนแล้วไม่ควรประมาท แม้ปรารถนาจะไปก็ไปแม้ไม่ปรารถนาจะไปก็อย่าไป ครั้นเห็นดีแล้ว จิตประสงค์แล้ว ก็ให้ปฏิบัติในคลองแห่งพระนิพพานด้วยจิตอันเลื่อมใส ก็อาจจักสำเร็จ ไม่สำเร็จก็จักเป็นอุปนิสัยปัจจัยต่อไป ผู้ที่ไม่รู้ แม้ปรารถนาจะไปหรือไปอยู่ใกล้ที่นั้นบ่อยๆ ก็ไม่อาจถึง เพราะเข้าใจผิดคิด
ว่าอยู่ที่นั้นที่นี้ ก็เลยผิดไปตามที่จิตคิด หลงไปหลงมาอยู่ใน
วัฏสงสาร ไม่มีวันที่จะถึงพระนิพพานได้.

ผู้ไม่รู้แจ้งในพระนิพพาน
ไม่ควรสั่งสอนพระนิพพานแก่ผู้อื่น
    ดูกรอานนท์ บุคคลผู้ไม่รู้ ไม่แจ้ง ไม่เข้าใจในพระนิพพาน ไม่ควรจะสั่งสอนพระนิพพานแก่ท่านผู้อื่น ถ้าขืนสั่งสอนก็จะพาท่านหลงหนทาง จักเป็นบาปเป็นกรรมแก่ตน ควรจะสั่งสอนแต่เพียงคลองแห่งทางมนุษย์สุคติ สวรรค์สุคติ เป็นต้นว่าสอนให้รู้จักทาน ให้รู้จักศีล ๕ ศีล ๘ ให้รู้คลองแห่งกุศลกรรมบถ ให้รู้จักปฏิบัติ
มารดาบิดา ให้รู้จักอุปัชฌาย์อาจารย์ ให้รู้จักก่อสร้างบุญ
กุศลต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น เพียงเท่านี้ก็อาจ
จะได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พอสมควรอยู่แล้ว
    ส่วนความสุขในโลกุตรนิพพานนั้น ผู้ใดต้องการจริง ต้องรักษาศีล ๕ ศีล ๑๐ ศีลพระปาติโมกข์เสียก่อน จึงเชื่อว่าเข้าใกล้ทาง มีโอกาสที่จักได้ถึงโลกุตรนิพพานโดยแท้
    แม้ผู้ที่จะเจริญคลองพระนิพพานนั้น ก็ให้รู้จักท่านผู้เป็นครูว่า รู้แจ้งทางพระนิพพานจริง จึงไปอยู่เล่าเรียนถ้าไปอยู่เล่าเรียนในสำนักของท่านผู้ไม่รู้แจ้ง ก็จักไม่สำเร็จโลกุตรนิพพานได้ เพราะว่าคลองแห่งโลกุตรนิพพานนี้ เล่าเรียนได้โดยยากยิ่งนัก ด้วยเหตุสัตว์ยินดีอยู่ในกามคุณอันเป็นข้าศึกแห่งพระนิพพานโดยมาก
    ภนฺเต อริยกสฺสป ข้าแต่พระอริยกัสสปะ ผู้มีอายุ พระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ด้วยประการดังนี้ ขอให้พระสงฆ์ทั้งหลายจงทราบด้วยพลญาณแห่งตน ดังแสดงมานี้เถิด.

ผู้ปรารถนาพระนิพพาน
ต้องแสวงหาครูที่ดีที่รู้แจ้งพระนิพพานจริง

    ตทนนฺตรํ ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า อานนฺท ดูกรอานนท์ อันว่าบุคคลทั้งหลายผู้ปรารถนาซึ่งพระนิพพาน ควรแสวงหาซึ่งครูที่ดีที่อยู่ เป็นสุขสำราญมิได้ประมาท เพราะพระนิพพานไม่เหมือนของสิ่งอื่น อันของสิ่งอื่นนั้น เมื่อผิดไปแล้วก็มีทางแก้ตัวได้หรือไม่สู้เป็นอะไรนัก เพราะไม่ละเอียดสุขุมมาก ส่วนพระนิพพานนี้ละเอียดสุขุมที่สุด ถ้าผิดแล้วก็เป็นเหตุให้ได้รับทุกข์เป็นหนักหนา ทำให้หลงโลก หลงทาง ห่างจากความสุข ทำให้เสียประโยชน์เพราะอาจารย์ ถ้าได้อาจารย์ที่ถูกที่ดี
ก็จะได้รับผลที่ถูกที่ดี ถ้าได้อาจารย์ที่ไม่รู้ ไม่ดี ไม่ถูกต้อง ก็จักได้รับผลที่ผิด เป็นทุกข์ พาให้หลงโลกหลงทาง พาให้เวียนว่ายตายเกิด อยู่ในวัฏสงสารสิ้นกาลนาน
    เปรียบเหมือนผู้จะพาเราไปที่ตำบลใดตำบลหนึ่ง แต่ ผู้นั้นไม่รู้จักตำบลนั้น แม้เราเองก็ไม่รู้ เมื่อกระนั้น ไฉนเขา จึงจะพาเราไปให้ถึงตำบลนั้นได้เล่า
    ข้ออุปมานี้ฉันใด อาจารย์ผู้ไม่รู้พระนิพพาน และจะพาเราไปพระนิพพานนั้น ก็จะพาเราหลงโลกหลงทางไปๆ มาๆ ตายๆ เกิดๆ อยู่ในวัฏสงสาร ไม่อาจจะถึงพระนิพพานได้ เหมือนคนที่ไม่รู้จักตำบลที่จะไปและเป็นผู้พาไป ก็ไม่อาจจะถึงได้ มีอุปไมยฉันนั้น
    ผู้คบครูอาจารย์ที่ไม่รู้ดีและได้ผลที่ไม่ดี มีในโลกมิใช่น้อย เหมือนดังพระองคุลิมาลเถระ ไปเรียนวิชาในสำนักครูผู้มีทิฏฐิอันผิด ได้รับผลที่ผิด คือเป็นมหาโจร ฆ่าคนล้มตายเสียนับด้วยพัน หากเราตถาคตรู้เห็น มีความเวทนาสงสารมาข้องอยู่ในข่ายสยัมภูญาณ จึงได้ไปโปรดทรมานให้ละเสียซึ่งพยศอันร้าย เป็นการลำบากมิใช่น้อย ถ้าไม่ได้พระตถาตคแล้ว พระองคุลิมาลก็จักได้เสวยทุกข์อยู่ในวัฏสงสารสิ้นชาติเป็นอันมาก.

บุคคลไม่รู้พระนิพพานไม่ควรเป็นครู
สั่งสอนผู้อื่นจะเป็นบาปหนัก

    ดูกรอานนท์
    บุคคลผู้ไม่รู้พระนิพพานไม่ควรเป็นครูสั่งสอนท่านผู้อื่น
ในทางพระนิพพานเลย ต่างว่าจะสั่งสอนเขา จะสั่งสอนว่ากระไร เพราะตัวไม่รู้ เปรียบเหมือนบุคคลไม่เคยเป็นช่างวาด ช่างเขียน หรือช่างต่างๆ มาก่อนแล้ว และอยากเป็นครูสั่งสอนเขา จะบอกแก่เขาว่ากระไร เพราะตัวเองก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ จะเอาอะไรไปบอก
ไปสอนเขา จะเอาแต่คำพูดเป็นครู ทำตัวอย่างให้เขาเห็น เช่นนั้นไม่ได้ จะให้เขาเล่าเรียนอย่างไร เพราะไม่มีตัวอย่างให้เขาเห็นด้วยตา ให้รู้ด้วยใจ เขาจะทำตามอย่างไรได้ ตัวผู้เป็นครูนั้นแลต้องทำก่อน ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ควรเป็นครูสอนเขา ถ้าขืนเป็นครู ก็จักพากันฉิบหายหลงโลกหลงทาง เป็นบาปเป็นกรรมแก่ตัวหนักหนาทีเดียว
    พระพุทธเจ้าตรัสแก่ข้าฯ อานนท์ดังนี้แล
    ตทนนฺตรํ ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า        อานนฺท ดูกรอานนท์ อันว่า บุคคลผู้จะสอนพระนิพพานนั้น ต้องให้รู้แจ้งประจักษ์ชัดเจนว่า พระนิพพานมีอยู่ในที่นั้นๆ มีลักษณะอาการอย่างนั้นๆ ต้องให้รู้แจ้งชัด จะกล่าวแต่เพียงวาจาว่า นิพพานๆ ด้วยปาก แต่ใจไม่รู้แจ้งชัด เช่นนั้น ไม่ควรเชื่อถือเลยต้องให้รู้แจ้งชัดในใจก่อน จึงควรเป็นครูเป็นอาจารย์สอนท่านผู้อื่นต่อไป จะเป็นเด็กก็ตาม ผู้ใหญ่ก็ตาม ถ้ารู้แจ้งชัดซึ่งพระนิพพานแล้ว ก็ควรเป็นครูเป็นอาจารย์ แลควรนับถือเป็นครูเป็นอาจารย์ได้ แม้จะเป็นผู้ใหญ่สูงศักดิ์สักปานใดก็ตาม ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจแล้ว ไม่ควรนับถือเป็นครูเป็นอาจารย์เลย.

ผู้รู้กับไม่รู้ ได้รับทุกข์เหมือนกันหากทำบาป

    ส่วนผู้จะได้สุขในนิพพานต้องรู้เท่านั้น
    ดูกรอานนท์ ถ้าอยากได้สุขอันใด ก็ควรรู้จักสุขอันนั้นก่อนจึงจะได้ เมื่ออยากได้สุขในพระนิพพาน ก็ควรรู้จักสุขในพระนิพพาน อยากได้สุขในมนุษย์และสวรรค์ ก็ให้รู้จักสุขในมนุษย์แลสวรรค์นั้นเสียก่อนจึงจะได้ ถ้าไม่รู้จักสุขอันใด ก็ไม่อาจยังความสุขอันนั้นให้เกิดขึ้นได้ ไม่เหมือนทุกข์ในนรก
    อันทุกข์ในนรกนั้น จะรู้ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม ถ้าทำกรรมที่เป็นบาปแล้ว ผู้ที่รู้หรือผู้ที่ไม่รู้ก็ ตกนรกเหมือนกัน
    ถ้าไม่รู้จักนรก ก็ยิ่งไม่มีเวลาพ้นจากนรกได้ ถึงจะทำบุญให้ทานสักปานใดก็ไม่อาจพ้นจากนรกได้ แต่มิใช่ว่าทำบุญให้ทานไม่ได้บุญ ความสุขที่ได้แต่การทำบุญนั้นมีอยู่ แต่ว่าเป็นความสุขที่ยังไม่พ้นจากทุกข์ในนรก เมื่อยังไม่รู้ไม่เห็นนรกตราบใด ก็ยังไม่พ้นจากนรกอยู่ตราบนั้น ครั้นได้เข้าถึงนรกแล้ว เมื่อได้รู้ทางออกจากนรกได้แล้ว ปรารถนาจักพ้นจากนรกก็พ้นได้ เมื่อไม่อยากพ้นก็ไม่อาจพ้นได้ ต้องรู้จักแจ้งชัดว่านรกอยู่ในที่นั้นๆ มีลักษณะอาการอย่างนั้นๆ แลควรรู้จักทางออกจากนรกให้แจ้งชัด ทางออกจากนรกนั้นคือ ศีล ๕ ศีล ๑๐ ศีลพระปาติโมกข์ นั่นเอง เมื่อรู้แล้วอยากจะออกให้พ้นก็ออกได้ ไม่อยากจะออกให้พ้นก็พ้นไม่ได้ ผู้ที่รู้กับผู้ที่ไม่รู้ย่อมได้รับทุกข์ในนรกเหมือนกัน
    ส่วนความสุขในมนุษย์แลสวรรค์ แลพระนิพพานนั้น ต้องรู้จักจึงจะได้ ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจไม่ได้เลย มีอาการต่างกันอย่างนี้

    การรู้จักนรก สวรรค์ แลพระนิพาน
ควรรู้ ในเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่

    ดูกรอานนท์ เมื่ออยากรู้จักนรก สวรรค์ แลพระนิพพาน ก็ควรให้รู้เสียในเวลาก่อนที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่ออยากพ้นทุกข์ในนรก ก็รีบออกให้พ้นเสียแต่เมื่อยังไม่ตาย เมื่ออยากได้สุขในมนุษย์หรือในสวรรค์หรือในนิพพาน ก็ให้รีบขวนขวายหาสุขเหล่านั้นไว้ แต่เมื่อยังไม่ตาย จะถือว่าตายแล้วจึงจักพ้นทุกข์ในนรก ตายแล้วจึงจักไปสวรรค์ ไปพระนิพพาน ดังนี้เป็นอันใช้ไม่ได้ เสียประโยชน์เปล่าอย่าเข้าใจว่าเมื่อมีชีวิตอยู่ สุขอย่างหนึ่ง เมื่อตายไปแล้ว มีสุขอีกอย่างหนึ่ง เช่นนี้เป็นความที่เข้าใจผิดโดยแท้
    เพราะจิตมีดวงเดียว เมื่อมีชีวิตอยู่ก็จิตดวงนี้ เมื่อตายไปแล้วก็จิตดวงนี้
    เมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้รับทุกข์ฉันใด แม้เมื่อตายไปแล้วก็ได้รับทุกข์ฉันนั้น
    เมื่อยังมีชีวิตอยู่มีความสุขฉันใด แม้เมื่อตายไปแล้วก็ได้รับความสุขฉันนั้นไม่ต้องสงสัย
    เมื่อยังมีชีวิตอยู่ยังไม่รู้ไม่เห็นซึ่งความทุกข์แลความสุขมีสภาวะปานดังนี้ เมื่อตายไปแล้ว ยิ่งจะซ้ำร้าย จะมีทางรู้ทางเห็นด้วยอาการอย่างไร พระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาแก่ ข้าฯ อานนท์ ด้วยประการฉะนี้
    ตทนนฺตรํ ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า        อานนฺท ดูกรอานนท์
    บุคคลผู้ใดมิได้ทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล เป็นต้น ไว้สำหรับตัวเสียก่อนแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ผู้นั้นก็เป็นคนหลง
    บุคคลผู้ใดอยากได้ความสุข แต่มิได้กระทำตนให้ได้รับความสุขไว้ก่อนแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เข้าใจเสียว่าตายไปแล้วภายหน้าจึงจักได้รับความสุข เช่นนี้ผู้นั้นก็เป็นคนหลง
    บุคคลผู้ใดอยากให้ตนพ้นทุกข์ แต่ไม่ได้กระทำตนให้พ้นทุกข์เสียแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เข้าใจเสียว่าตายไปแล้วจึงจักพ้นทุกข์ดังนี้ ผู้นั้นก็เป็นคนหลง
    บุคคลผู้ใดที่ทำความเข้าใจว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่นี้เป็นอย่างหนึ่ง ตายไปแล้วเป็นอีกอย่างหนึ่ง บุคคลผู้นั้นก็เป็นคนหลง
    บุคคลผู้ใดเข้าใจเสียว่า เมื่อยังเป็นคนมีชีวิตอยู่นี้ ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ ไม่เป็น ก็ช่างเถิดไม่เป็นไร ตายไปแล้ว ภายหน้า จักรู้ จักเห็น จักได้ จักเป็น ผู้นั้นก็เป็นคนหลง
    บุคคลผู้ใดเข้าใจว่า เมื่อยังเป็นคนมีชีวิตอยู่นี้ สุขก็ช่างเถิด ตายไปแล้วจักได้สุข ผู้นั้นก็เป็นคนหลง
    บุคคลผู้ใดถือเสียว่า เมื่อยังเป็นคนมีชีวิตอยู่นี้ ทุกข์ก็ช่างเถิดไม่เป็นไร ตายไปแล้วจักได้สุข ผู้นั้นก็เป็นคนหลง
    บุคคลผู้ใดถือเสียว่า เมื่อยังเป็นคนมีชีวิตอยู่นี้ จะทุกข์ก็ดี จะสุขก็ดี จะชั่วก็ดีก็ช่างเถิด ตายไปแล้วจักไปเป็นอะไรก็ช่างเถิด ใครจักตามไปรู้ไปเห็น ผู้นั้นก็เป็นคนหลง.
    บุคคลที่ปรารถนาพ้นทุกข์ได้สุขหรือพระนิพพาน ควรให้ได้เมื่อยังมีชีวิตอยู่
    ดูกรอานนท์ บุคคลทั้งหลายปรารถนาอยากพ้นทุกข์ หรือปรารถนาอยากได้สุขประเภทใด ก็ควรให้ได้ถึงเสียแต่ในชาตินี้ ถ้าถือเอาภายหน้าเป็นประมาณแล้ว ชื่อว่าเป็นคนหลงทั้งสิ้น แม้ความสุขอย่างสูงคือพระนิพพาน ผู้ปรารถนา ก็พึงรีบขวนขวายให้ได้ให้ถึงเสียแต่เมื่อเป็นคนมีชีวิตอยู่นี้
    ดูกรอานนท์ อันว่าความสุขในพระนิพพานนั้น มี ๒ ประเภท         ดิบ ๑ สุก ๑
    ได้ความว่า เมื่อยังเป็นคนมีชีวิตอยู่ ได้เสวยสุขในพระนิพพานนั้นได้ชื่อว่าพระนิพพานดิบ
    เมื่อตายไปแล้วได้เสวยสุขในพระนิพพานนั้น ได้ชื่อว่าพระนิพพานสุก
    พระนิพพานมี ๒ ประการเท่านี้
    นิพพานโลกีย์ นิพพานพรหม เป็นนิพพานหลง ไม่นับเข้าไปในที่นี้
    พระนิพพานดิบนั้นเป็นของสำคัญ ควรให้รู้ ให้เห็นให้ได้ ให้ถึงเสียก่อนตาย ถ้าไม่ได้พระนิพพานดิบนี้แล้วตายไปจักได้พระนิพพานสุกนั้นไม่มีเลย ถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจก็ยิ่งไม่มีทางได้ แต่รู้แล้ว เห็นแล้ว พยายามจะให้ได้ให้ถึงก็แสนยากแสนลำบากยิ่งนักหนา     ผู้ใดเห็นว่าพระนิพพานมีอย่างเดียว ตายแล้วจึงจะได้ ผู้นั้นชื่อว่าคนหลง
    ส่วนพระนิพพานดิบนั้น จักจัดเอาความสุขอย่างละเอียดเหมือนอย่างพระนิพพานสุกนั้นไม่ได้ แต่ก็เป็นความสุขอันละเอียดสุขุม หาสิ่งใดเปรียบมิได้อยู่ แต่หากยังมีกลิ่นรสแห่งทุกข์กระทบถูกต้องอยู่ จึงไม่ละเอียดเหมือนพระนิพพานสุก เพราะพระนิพพานสุกไม่มีกลิ่นรสแห่งทุกข์จะมากล้ำกรายปราศจากสรรพสิ่งทั้งปวง แต่พระนิพพานดิบนั้นต้องให้ได้ไว้ก่อนตาย.

ทำตัวเราให้เหมือนแผ่นดิน
จึงได้ ชื่อว่าถึงพระนิพพานดิบ

    ดูกรอานนท์ อันว่าพระนิพพานนั้น พึงให้ดูอย่างแผ่นดิน พระธรณี มีลักษณะอาการฉันใด ก็ให้ตัวเรามีลักษณะอาการฉันนั้น
ถ้าทำได้เช่นนั้น ก็ได้ชื่อว่าถึงพระนิพพานดิบ ถ้าทำไม่ได้ แต่พูดว่าอยากได้ จะพูดมากมายเท่าไรๆ ก็ตามก็ไม่อาจที่จะได้จะถึงเลย
    ถ้าปรารถนาจักถึงพระนิพพานแล้ว ต้องทำจิตใจของตนให้เหมือนแผ่นดินเสียก่อน ไม่ใช่เป็นของทำได้ด้วยง่าย ต้องพากเพียรลำบากยากยิ่งนักจึงจักได้ จะเข้าใจว่าปรารถนาเอาด้วยปากก็คงจักได้อย่างนี้ เป็นคนหลงไปใช้ไม่ได้ ต้องทำตัวทำใจให้เป็นเหมือนแผ่นดินให้จงได้
    ลักษณะของแผ่นดินนั้นคนแลสัตว์ทั้งหลายจะทำร้าย ทำดี
กล่าวร้าย กล่าวดีประการใด มหาปฐพีนั้นก็มิได้รู้โกรธ รู้เคือง
    ที่ว่าทำใจให้เหมือนแผ่นดินนั้น คือว่าให้วางใจเสีย อย่าเอื้อเฟื้ออาลัยว่าใจของตน ให้ระลึกอยู่ว่าตัวมาอาศัยอยู่ไปชั่วคราวเท่านั้น เขาจะนึกคิดอะไรก็อย่าตามเขาไป ให้เข้าใจอยู่ว่า เราอยู่ไปคอยวันตายเท่านั้น ประโยชน์อะไรกับวัตถุข้าวของและตัวตน อันเป็นของภายนอก แต่ใจซึ่งเป็นของภายในแลเป็นของสำคัญ ก็ยังต้องให้ปล่อยให้วาง อย่าถือเอาว่าเป็นของๆ ตัว กล่าวไว้แต่พอให้เข้าใจเพียงเท่านี้โดยสังเขป.

การปล่อยวางจิต
คือ ให้ละโลภ โกรธ หลง

    ดูกรอานนท์ คำที่ว่าให้ปล่อยวางจิตใจนั้น คือว่าให้ละความโลภ ความโกรธ ความหลง ปลงเสีย ซึ่งการร้ายและการดีที่บุคคลนำมากล่าว มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ อย่ายินดีอย่ายินร้าย แม้ปัจจัยเครื่องบริโภค เป็นต้นว่า อาหารการกิน ผ้าผ่อนเครื่องนุ่งห่ม แลที่อยู่ที่นอน เภสัชสำหรับแก้โรค ก็ให้ละความโลภความหลงในปัจจัยเหล่านั้นเสีย
    ให้มีความมักน้อยในปัจจัย แต่มิใช่ว่าจะห้ามเสียว่า ไม่ให้กิน ไม่ให้นุ่งห่ม ไม่ให้อาศัยในสถานที่ ไม่ให้กินหยูกกินยา เช่นนั้นก็หามิได้ คือ ให้ละความโลเลในปัจจัยเท่านั้น คือว่า เมื่อได้อย่างดีอย่างประณีต ก็ให้บริโภคอย่างดีอย่างประณีต ได้อย่างเลวทรามต่ำช้า ก็ให้บริโภคอย่างเลวทรามต่ำช้า ตามมีตามได้ ไม่ให้ใจขุ่นมัวด้วยความโลภความโกรธ ความหลง อย่างนี้แล ชื่อว่าปล่อยวางใจเสียได้
    ถ้ายังเลือกปัจจัยอยู่ คือ ปล่อยให้ความโลภ ความโกรธ ความหลงเข้าครอบงำเพราะเหตุแห่งปัจจัย ๔ อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ชื่อว่ายังถือจิตใจอยู่ ยังไม่ถึงพระนิพพานได้เลย ถ้าละความโลภ โกรธ หลง ในปัจจัยนั้นได้แล้ว จึงชื่อว่าทำตัวให้เป็นเหมือนแผ่นดิน เป็นอันถึงพระนิพพานได้โดยแท้
    มีคำสอดเข้ามาในนี้ว่า เหตุไฉนจึงมิให้ถือใจ เมื่อไม่ให้ถือเช่นนั้น จะให้เอาใจไปไว้ที่ไหน เพราะไม่ใช่ใจของคนอื่น เป็นใจของตัวแท้ๆ ที่จะเป็นอยู่ได้ทุกวันนี้ ก็เพราะมีใจนี้เอง ถ้าไม่มีใจนี้แล้วก็ตายเท่านั้น จะให้วางใจเสียแล้ว จะรู้จะเห็นอะไร?

จิตใจไม่ใช่ของเรา
ถ้าถึงพระนิพพานแล้วต้องวางจิตใจ
คืนไว้ให้แก่โลกตามเดิม

    มีคำวิสัชนาไว้ว่า ผู้ที่เข้าใจว่า ใจนั้นเป็นของๆ ตัวจริง ผู้นั้นก็เป็นคนหลง ความจริงไม่ใช่จิตของเราแท้ ถ้าหากเป็นจิตใจของเราแท้ก็คงบังคับได้ตามประสงค์ว่า อย่าให้แก่ อย่าให้ตาย ก็คงจะได้สักอย่างเพราะเป็นของตัว อันที่แท้จิตใจนั้นหากเป็นลมอันเกิดอยู่สำหรับโลก ไม่ใช่จิตใจของเรา โลกเขาตั้งแต่งไว้ก่อนเรา เราจึงเข้ามาอาศัยอยู่กับด้วยลมจิตใจ ณ กาลภายหลัง ถ้าหากว่าเป็นจิตใจของเราเราพาเอามาเกิด ครั้นเกิดขึ้นแล้วจิตใจนั้นก็หมดไป ใครจะเกิดขึ้นมาได้อีก นี่ไม่ใช่จิตใจของใครสักคน เป็นของมีอยู่
สำหรับโลก ผู้ใดจะเกิดก็ถือเอาลมนั้นเกิดขึ้น ครั้นได้แล้ว ก็เป็นจิตของตน ที่จริงเป็นของสำหรับโลกทั้งสิ้น
    ที่ว่าจิตใจของตนนั้น ก็เพียงให้รู้ซึ่งการบุญ การกุศล การบาป การอกุศล และเพียงให้รู้ทุกข์ สุข สวรรค์ แลพระนิพพาน ถือไว้ให้ถึงที่สุดเพียงพระนิพพานเท่านั้น ถ้าถึงพระนิพพานแล้ว ต้องวางจิตใจคืนไว้แก่โลกตามเดิมเสียก่อน ถ้าวางไม่ได้เป็นโทษ ไม่อาจถึงพระนิพพานได้ มีคำแก้ไว้อย่างนี้
    ตทนนฺตรํ ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า        อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลทั้งหลายที่หลงขึ้นไปบังเกิดในอรูปพรหม อันปราศจากความรู้นั้น ก็ล้วนแต่บุคคลผู้ปรารถนาพระนิพพาน แต่ไม่รู้จักวางใจให้สิ้นให้หมดทุกข์นั้นเอง ไม่รู้จักวางจิตวิญญาณอันตนเข้ามาอาศัยอยู่ด้วยกับลมของโลก ทำความเข้าใจว่าเป็นจิตของตัว แลเข้าใจว่า พระนิพพานมีอยู่ในเบื้องบนนั้น ตัวก็นึกเข้าใจเอาจิตของตัวขึ้นไปเป็นสุขอยู่ที่นั้น ครั้นตายแล้วก็เลยพาเอาตัวขึ้นไปอยู่ในที่อันไม่มีรูปตามที่จิตตนนึกไว้นั้น
    ดูกรอานนท์ผู้ที่หลงขึ้นไปอยู่ในอรูปพรหมแล้ว แลจักได้ถึงโลกุตรนิพพานนั้นช้านานยิ่งนัก เพราะว่าอายุของอรูปพรหมนั้นยืนนัก
จะนับว่าเท่านั้นเท่านี้มิอาจนับได้ จึงชื่อว่านิพพานโลกีย์ ต่างกันแต่มิได้ดับวิญญาณเท่านั้น ถ้าหากดับวิญญาณก็เป็นพระนิพพานโลกุตรได้
    ส่วนความสุขความสำราญในพระนิพพานทั้ง ๒ นั้น ก็ประเสริฐเลิศโลกเสมอกันไม่ต่างกัน แต่นิพพานโลกีย์เป็นนิพพานที่ไม่สิ้นสุดเท่านั้น เมื่อสิ้นอำนาจของฌานแล้วยังต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ร้ายแลดี คุณแลโทษ สุขแลทุกข์ ยังมีอยู่เต็มที่
    เพราะเหตุนั้น ผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งจะปรารถนานิพพานพรหมไม่มีเลย ย่อมมุ่งต่อโลกุตรนิพพานด้วยกันทั้งนั้น แต่ไม่รู้จักปล่อยวาง วิญญาณจึงหลงไปเกิดเป็นอรูปพรหม ส่วนโลกุตรนิพพานนั้นปราศจากวิญญาณ วิญญาณยังมีที่ใด ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็มี
อยู่ในที่นั้น
    โลกุตรนิพพานปราศจากวิญญาณ จึงไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย มีแต่ความสุขสบายปราศจากอามิส หาความสุขอันใดจะมาเปรียบด้วยพระนิพพานไม่มี ขึ้นชื่อว่า ความเกิด ความตาย ความร้าย ความดี บาปบุญคุณโทษ สุขทุกข์ ความทุกข์ยากลำบาก เข็ญใจ ทุกข์โศก โรคภัยไข้เจ็บ สิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่มีในพระนิพพานเลย พระพุทธเจ้าตรัสแก่ข้าฯ อานนท์ ดังนี้แล
    ตทนนฺตรํ ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า        อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลผู้ปรารถนาพระนิพพานแต่ยังปล่อยวางใจไม่ได้ ยังอาลัยถึงความสุขอยู่ คิดว่าพระนิพพานอยู่ในที่นั้นที่นี้ จะเอาจิตแห่งตนไปเป็นสุขในที่แห่งนั้น ครั้นจักปล่อยวางใจเสีย ก็กลัวว่าจะไม่มีอันใดนำไปให้เป็นสุข ถือใจอาลัยสุข เหตุนั้นจึงมิได้พ้นพระนิพพานพรหม
    ดูกรอานนท์ เราตถาคตแสดงว่าให้ปลงใจ ให้วางใจนั้น เราชี้ข้อสำคัญเอาที่สุดมาแสดง เพื่อให้รู้ให้เข้าใจได้ง่าย
    การวางใจ ปลงใจนั้นคือ
วางสุข วางทุกข์ วางบาป บุญ คุณ โทษ
วางโลภ โกรธ หลง
วางลาภ ยศ นินทา สรรเสริญ
ทั้งหมดทั้งสิ้นเหมือนดังไม่มีหัวใจ
จึงชื่อว่าทำใจให้เหมือนแผ่นดิน
ถ้ายังทำไม่ได้ อย่าหวังว่าจักได้โลกุตรนิพพานเลย
ถ้าทำตัวให้เหมือนแผ่นดินได้ในกาลใด พึงหวังเถิดซึ่งโลกุตร
นิพพาน คงได้คงถึงในกาลนั้นโดยไม่ต้องสงสัย
พระนิพพานเป็นของได้ด้วยยากยิ่งนัก แสนคนจะได้แต่ละคนก็ทั้งยาก.
ผู้ปฏิบัติอริยมรรคให้เต็มที่จึงจะวางใจให้เหมือนแผ่นดินได้

    ดูกรอานนท์ ผู้มิได้กระทำอริยมรรคปฏิปทาให้เต็มที่ ยังเป็นปุถุชนหนาไปด้วยกิเลส หาปัญญามิได้ แลจักวางใจทำตัวให้เป็นเหมือนแผ่นดินนั้นไม่อาจทำได้เลย เหตุที่เขาวางใจไม่ได้ ก็เพราะเขายังถือตัว ถือใจอยู่ว่าเป็นของๆตัวแท้ จึงต้องทรมานทนทุกข์อยู่ในโลก เวียนว่ายตายเกิดแล้วๆ เล่าๆ ไม่มีสิ้นสุด
    ดูกรอานนท์ ผู้ที่วางใจทำตัวให้เป็นเหมือนแผ่นดินได้นั้น มีแต่บุคคลผู้เป็นนักปราชญ์และเป็นสัตบุรุษ จำพวกเดียวเท่านั้น
เพราะท่านไม่ถือตนถือตัว ท่านวางใจให้เป็นเหมือนแผ่นดินได้
ท่านจึงได้ถึงพระนิพพาน
    ส่วนผู้ที่ถือตัวถือใจปล่อยวางมิได้นั้น ล้วนแต่เป็นคนโง่เขลาทั้งสิ้นทั้งนั้น
    บุคคลที่เป็นสัตบุรุษ ท่านเห็นแจ้งชัดซึ่งอนัตตา ท่านถือใจของท่านไว้ ก็เพียงแต่ให้รู้บาปบุญคุณโทษ ประโยชน์แลมิใช่ประโยชน์ รู้ศีล ทาน การกุศล แลอกุศล รู้ทางสุข ทางทุกข์ในมนุษย์แลสวรรค์ แลพระนิพพานเท่านั้น ครั้นถึงที่สุด ท่านก็ปล่อยวางเสียตามสภาวะแห่งอนัตตา
    ส่วนคนโง่เขลานั้นถือตนถือตัว ถือว่าร่างกายเป็นอัตตาตัวตน จึงปล่อยวางมิได้
    ดูกรอานนท์ อันว่า บุคคลที่ถือใจนั้นย่อมเป็นคนมักโลภ มักโกรธ มักหลง บุคคลจำพวกใดที่ตกอยู่ในอำนาจแห่งความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้น จะเป็นนักบวชก็ตาม เป็นคฤหัสถ์ก็ตาม ก็หาความสุขมิได้ เบื้องหน้าแต่ตายไป ก็หาความสุขในมนุษย์แลสวรรค์มิได้เลย ย่อมมีอบายเป็นที่ไป ณ เบื้องหน้าโดยแท้
    ดูกรอานนท์
    บุคคลทั้งหลายผู้ปรารถนาเข้าสู่พระนิพพาน จงวางเสียซึ่งใจ อย่าอาลัยความสุข
    การวางใจก็คือการวางสุข วางทุกข์ แลบาปบุญคุณโทษ ร้ายดี
ซึ่งเป็นของสำหรับโลกนี้เสียให้สิ้น สิ่งเหล่านี้สร้างไว้สำหรับโลกนี้เท่านั้น
    เมื่อต้องการพระนิพพานแล้ว ต้องปล่อยวางไว้ในโลกนี้สิ้นทั้งนั้น จึงจะได้ความสุขในพระนิพพาน ซึ่งเป็นความสุขอย่างยิ่ง เป็นความสุขอันหาส่วนเปรียบมิได้.

ผู้จะถือเอาความสุขในนิพพาน
ต้องวางความสุขในโลกีย์ ให้หมด

    ดูกรอานนท์ เมื่อจะถือเอาความสุขในพระนิพพานแล้ว ก็ให้วางใจในโลกีย์นี้เสียให้หมดสิ้น
    อันว่าความสุขในโลกีย์ก็มีอยู่แต่อินทรีย์ทั้ง ๖ นี้เท่านั้น ในอินทรีย์ทั้ง๖ นั้น ยกเอาใจไว้เป็นเจ้า เอาประสาททั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นั้นเป็นกามคุณทั้ง ๕ ประสาททั้ง ๕ นี้เองเป็นผู้แต่งความสุขให้แก่เจ้าพระยาจิตตราช
    ประสาทตานั้น เขาได้เห็น ได้ดูรูปวัตถุสิ่งของอันดีงามต่างๆ ก็นำความสุขไปให้แก่เจ้าพระยาจิตตราช
    ประสาทหูนั้น เมื่อเขาได้ยินได้ฟังศัพท์สำเนียงเสียงที่ไพเราะ เป็นที่ชื่นชมทั้งปวง ก็นำความสุขสนุกสนานไปให้แก่เจ้าพระยาจิตตราช
    ประสาทจมูกนั้น เมื่อเขาได้จูบ ชม ดม กลิ่นสุคันธรส
ของหอมต่างๆ ก็นำความสุขไปให้แก่เจ้าพระยาจิตตราช
    ประสาทลิ้นนั้น เมื่อเขาบริโภคอาหารอันโอชารสวิเศษต่างๆ ก็นำความสุขไปให้แก่เจ้าพระยาจิตตราช
    ประสาทกายนั้น เมื่อเขาได้ถูกต้องฟูกเบาะเมาะ หมอนแลนุ่งห่มประดับประดาเครื่องกกุธภัณฑ์อันสวยงาม แลบริโภคกามคุณ ก็นำความสุขสนุกสนานไปให้แก่เจ้าพระยาจิตตราช
    เจ้าพระยาจิตตราชนั้นก็คือใจนั้นเอง
    ส่วนใจนั้นเป็นใหญ่ เป็นผู้คอยรับความสุขสนุกสนานอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนประสาททั้ง ๕ เป็นผู้สำหรับนำความสุขไปให้แก่ใจ
    ประสาททั้ง ๕ จึงชื่อว่ากามคุณ ความสุขในโลกนี้ มีแต่กามคุณทั้ง ๕ นี้เท่านั้น จะเป็นเจ้าประเทศราชในบ้านน้อยเมืองใหญ่ ตลอดขึ้นไปจนถึงเทวโลก ก็มีแต่กามคุณทั้ง ๕ เท่านั้น
    ดูกรอานนท์
    ผู้ที่จะนำตนไปให้เป็นสุขในพระนิพพาน ต้องวางเสียซึ่งความสุขในโลกีย์ ถ้าวางไม่ได้ก็ไม่ได้ความสุขในพระนิพพานเลย
    ถ้าวางสุขในโลกีย์มิได้ก็ไม่พ้นทุกข์ ด้วยความสุขในโลกีย์เป็นความสุขที่เจืออยู่ด้วยทุกข์
    ครั้นเมื่อถือเอาสุขก็คือถือเอาทุกข์นั่นเอง ครั้นไม่วางสุขก็คือไม่วางทุกข์นั้นเอง จะเข้าใจว่าเราจะถือเอาแต่สุข ทุกข์ไม่ต้องการ ดังนี้ไม่ได้เลย เพราะสุขทุกข์เป็นของเนื่องอยู่ด้วยกัน ถ้าไม่วางสุขเสียก็เป็นอันไม่พ้นทุกข์
    ดูกรอานนท์ บุคคลทั้งหลายผู้ที่จะรู้ว่าสุขทุกข์ติดกันอยู่นั้นหายากยิ่งนัก มีแต่เราตถาคตผู้ประกอบด้วยทศพลญาณนี้เท่านั้น
บุคคลทั้งหลายที่ยังเป็นปุถุชนคนโง่เขลานั้น ทำความเข้าใจว่า สุขก็มีอยู่ต่างหาก ทุกข์ก็มีอยู่ต่างหาก ครั้นเราถือเอาสุข เราก็ได้สุข เราก็ไม่ถือเอาทุกข์ ทุกข์ก็ไม่มี ดังนี้
    เพราะเหตุที่เขาไม่รู้ว่าสุขกับทุกข์ติดกันอยู่ เขาจึงไม่พ้นทุกข์
เมื่อผู้ใดอยากพ้นทุกข์ก็ให้วางสุขเสีย ก็เป็นอันละทุกข์วางทุกข์ด้วยเหมือนกัน ใครเล่าจะมีความสามารถพรากสุขทุกข์ออกจากกันได้ แม้เราตถาคตก็ไม่มีวิเศษที่จะพรากจากกันได้ ถ้าหากเราตถาคตพรากสุขแลทุกข์ออกจากกันได้ เราจะปรารถนาเข้าสู่พระนิพพานทำไม เราจะถือเอาแต่สุขอย่างเดียว เสวยแต่ความสุขอยู่ในโลกเท่านั้น ก็เป็นอันสุขสบายพออยู่แล้ว นี่ไม่เป็นเช่นนั้น เราแสวงหาความสุขโดยส่วนเดียวไม่มีทางที่จะพึงได้ เราจึงวางสุขเสีย ครั้นวางสุขแล้ว ทุกข์ไม่ต้องวาง ก็หายไปเอง อยู่กับเราไม่ได้ เราจึงสำเร็จพระนิพพาน พ้นจากกองทุกข์ ด้วยประการดังนี้
    ดูกรอานนท์ อันสุขใดในโลกีย์นั้น ถ้าตรวจตรองให้แน่นอนแล้วก็เป็นกองแห่งทุกข์นั้นเอง เขาหากเกิดมาเป็นมิตรติดกันอยู่ ไม่มีผู้ใดจักพรากออกจากกันได้ เราตถาคตกลัวทุกข์เป็นอย่างยิ่ง หาทางชนะทุกข์มิได้ จึงปรารถนาเข้าพระนิพพาน เพราะเหตุกลัวทุกข์นั้นอย่างเดียว พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ดังนี้แล.

ผู้จะถึงพระนิพพาน
ต้องพ้นจากกุศลธรรมและอกุศลธรรม

    ตทนนฺตรํ ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนาสืบต่อไปอีกว่า     อานนฺท ดูกรอานนท์
กุศลธรรมและอกุศลธรรมนั้น ได้แก่กองกิเลส ๑,๕๐๐ นั้นเอง
อัพยากฤตธรรมนั้น คือ องค์พระนิพพาน
ครั้นพ้นจากกองกุศลธรรมและอกุศลธรรมนั้นแล้ว
จึงเป็นองค์แห่งพระอรหํ และพระนิพพานโดยแท้
ถ้ายังไม่พ้นจากกุศลแลอกุศลตราบใด ก็ยังไม่เป็นอัพยากฤต
ตราบนั้น คือยังไม่เป็นองค์พระอรหํ ยังไม่เป็นองค์พระนิพพานได้
    ดูกรอานนท์ กุศลนั้นได้แก่กองสุข อกุศลนั้นได้แก่กองทุกข์ กองสุขแลกองทุกข์นั้นหากเป็นของเกิดติดเนื่องอยู่ด้วยกัน ไม่มีใครจักพรากให้แตกออกจากกันได้ ครั้นถือเอากุศลคือกองสุขแล้ว ส่วนอกุศลคือกองทุกข์นั้น แม้ไม่ถือเอาก็เป็นอันได้อยู่เอง
    ดูกรอานนท์ เมื่อบุคคลต้องการพระนิพพาน ก็ให้วางเสียซึ่งความสุขนั้นก่อน ความสุขในโลกีย์นั้นเอง ชื่อว่ากุศล จึงจักถึงพระนิพพาน ถ้าหากว่าไม่มีความสามารถ คือไม่อาจทำพระนิพพานให้แจ้งได้ ก็ให้ยึดเอากุศลนั้นไว้ก่อนพอให้ได้ความสุขในมนุษย์แลสวรรค์ แต่จะให้พ้นทุกข์นั้นไม่ได้
    เมื่อรู้อยู่ว่าตนจักพ้นทุกข์ไม่ได้ ก็ให้ยึดเอากุศลนั้นไว้เป็นสะพานสำหรับไต่ไปสู่ความสุข ถ้ารู้ว่าตนยังไม่พ้นทุกข์ ซ้ำมาวางกุศลเสียก็ยิ่งซ้ำร้าย เพราะเมื่อวางกุศลเสียแล้ว ตนก็จักเข้าไปกองอกุศลคือกองบาปเท่านั้น เมื่อตกเข้าไปในกองอกุศล อกุศลนั้นก็จักนำตัวไปทนทุกข์เวทนาในอบายภูมิทั้ง ๔ หาความสุขในโลกมิได้เลย
    เพราะเหตุนั้น เมื่อตนยังไม่ถึงพระนิพพาน ก็ให้บำเพ็ญกุศลไว้พอจะได้อาศัยเป็นสุขสบายไปในชาตินี้แล ชาติหน้า
     ภนฺเต ข้าแต่พระอริยกัสสปะ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ดังนี้.

จิตและตัณหาเป็นที่มาของสุขและทุกข์
ซึ่งต้องวางให้หมดจึงจะถึงนิพพานได้

    ตทนนฺตรํ ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า        อานนฺท ดูกรอานท์ เราตถาคตจักแสดงในข้ออันเป็นที่สุดแต่โดยย่อๆ พอให้เข้าใจง่าย ที่สุดนั้นก็คือ จิตกับตัณหา
    จิต นั้นจำแนกออกไปเรียกว่า กองกุศล คือ กองสุข
    ตัณหา นั้นจำแนกออกไปเรียกว่า กองอกุศล คือกองทุกข์
ต้นเหง้าเค้ามูลแห่งกองทุกข์นั้น ก็คือจิตแลตัณหานั้นเอง

จิตเป็นผู้คิดให้ได้เป็นดีมีสุขขึ้น
ส่วนตัณหานั้นก็ให้เกิดตามเห็นตาม

จิตมีความสุขมากขึ้นเท่าใด
ตัณหานั้นก็ให้เกิดทุกข์ตามมากขึ้นไปเท่านั้น

    ดูกรอานนท์ แต่เบื้องต้นเมื่อเราตถาคตยังไม่รู้แจ้งว่า สุขแลทุกข์อยู่ติดด้วยกัน เราก็ถือเอากุศลจิตอันเดียว หมายจักให้เป็นสุขอยู่ทุกเมื่อ ส่วนทุกข์จักไม่ให้มา ก็ตั้งหน้าบำเพ็ญกุศลจิตเรื่อยไป เมื่อได้สุขเท่าใด ทุกข์พลอยเกิดมีเท่านั้น
    ครั้นภายหลังเราพิจารณาด้วยญาณจักษุปัญญา แลเห็นแจ้งชัดว่าสุขแลทุกข์ติดอยู่ด้วยกัน ครั้นรู้แจ้งแล้ว ก็ตรึกตรองหาอุบายที่จะกำจัดสุขแลทุกข์ให้พรากออกจากกันนั้น แสนยากแสนลำบากเหลือกำลัง จนสิ้นปัญญา หาทางไปมาไม่ได้ เราตถาคตจึงวางเสียซึ่งสุขคืนให้แก่ทุกข์ คือวางใจให้แก่ตัณหา
    ครั้นเราวางใจไว้ให้แก่ตัณหาแล้ว ความสุขในพระนิพพานก็เลยเข้ามารับเราให้ถึงนิพพานดิบในขณะนั้น
    ดูกรอานนท์ เมื่อวางใจได้จึงเป็นอัพยากฤต จึงเรียกชื่อว่าถือเอาอัพยากฤตเป็นอารมณ์ เป็นองค์พระอรหํ
    คือ ได้เข้าตั้งอยู่ในพระนิพพานด้วยอาการดังนี้.

อรหันต์หรือการเข้าถึงพระนิพพาน
เป็นของมีไว้สำหรับโลก

    ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์
สืบต่อไปอีกว่า
    อานนฺท ดูกรอานนท์ อันว่าอรหํนั้น จะได้มีจำเพาะแต่เราตถาคตพระองค์เดียวก็หามิได้ ย่อมมีเป็นของสำหรับโลก สำหรับไว้โปรดสัตว์โลกทั่วไป ไม่ใช่ของแห่งเราตถาคต แลของผู้หนึ่งผู้ใดเลย
    ดูกรอานนท์ เราตถาคตเป็นผู้ไกลจากกิเลสแล้ว จึงได้ซึ่งพระอรหํ บุคคลผู้ใดปราศจากกิเลสแล้ว บุคคลผู้นั้นก็เป็นผู้ได้พระอรหํ เสมอกันทุกคน
    บุคคลผู้ใดที่ยังไม่ปราศจากกิเลส ถึงแม้จักอ้อนวอน เราตถาคตว่า อรหํ อรหํ ดังนี้จนถึงวันตาย ก็ไม่อาจได้ซึ่งพระอรหํเลย เป็นแต่กล่าวด้วยปากเปล่าๆ เท่านั้น และมาเข้าใจว่าการละกิเลส ได้หรือไม่ได้นั้น ไม่เป็นประมาณ
    เมื่อได้อ้อนวอนหาซึ่งองค์พระอรหํเจ้าด้วยปากด้วยใจแล้ว พระอรหํเจ้าก็จักนำตนให้เข้าสู่พระนิพพาน เข้าใจเสียอย่างนี้
ชื่อว่าเป็นคนหลงแท้
    แม้เมื่อตนยังไม่พ้นลามกมลทินแห่งกิเลส แล้วไปอ้อนวอนพระอรหํ ที่หมดมลทินกิเลสให้มาตั้งอยู่ในตัวตนอันแปดเปื้อนด้วยลามกมลทินแห่งกิเลส จักมีทางได้มาแต่ไหน
    เปรียบเหมือนดังมีสระอยู่สระหนึ่ง เต็มไปด้วยของเน่าของเหม็นสารพัดทั้งปวง เป็นสระมีน้ำเน่าเหม็นสาบเหม็นคาวน่าเกลียดยิ่งนัก และมีบุรุษคนหนึ่งตกอยู่ในสระนั้น หากว่าบุรุษคนนั้นร้องเรียกให้อานนท์ลงไปอยู่สระน้ำเน่ากับเขาด้วย อานนท์จักไปอยู่ด้วยกับเขาหรือ
    ดูกรอานนท์ เราจักบอกให้สิ้นเชิง ถ้าอานนท์ลงไปอยู่ในสระกับบุรุษผู้แปดเปื้อนด้วยน้ำเน่าได้ ดังนั้น องค์พระอรหํเจ้าก็อาจไปตั้งอยู่กับบุรุษผู้แปดเปื้อนด้วยกิเลสได้เหมือนกัน ถ้าอานนท์ลงไปอยู่กับบุรุษแปดเปื้อนไม่ได้องค์พระอรหํเจ้าก็ไม่อาจไปตั้งอยู่กับบุคคลผู้แปดเปื้อนด้วยราคะกิเลส ได้เหมือนกันเช่นนั้น
    ดูกรอานนท์ ท่านจะลงไปอยู่กับด้วยบุรุษแปดเปื้อนได้หรือไม่ มีพุทธฎีกาตรัสถาม ฉะนี้
    ข้าฯ อานนท์จึงกราบทูลว่า ลงไปอยู่ด้วยไม่ได้ ถ้าท่านไม่ลงไป บุรุษผู้นั้นก็กล่าววิงวอนท่านอยู่ร่ำไป จะสำเร็จหรือไม่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าข้าพระองค์ไม่ลงไป บุรุษผู้นั้นก็ทำอะไรแก่ข้าพระองค์ไม่ได้ ความปรารถนาก็ไม่สำเร็จ เป็นแต่วิงวอนอยู่เปล่าๆ เท่านั้นเอง
    ดูกรอานนท์ ข้ออุปมานี้ฉันใด บุรุษผู้จมอยู่ในน้ำนั้น เปรียบเหมือนบุคคลผู้ไม่ปราศจากมลทินลามกแห่งกิเลส พระอรหํนั้นเปรียบเหมือนตัวของอานนท์ อานนท์ไม่ลงไปอยู่กับด้วยบุรุษแปดเปื้อนฉันใด พระอรหํท่านก็ไม่ไปอยู่กับบุคคลผู้แปดเปื้อนด้วย           กิเลสฉันนั้น แม้จักวิงวอนด้วยปากด้วยใจสักเท่าไรก็ไม่สำเร็จ
พระอรหํท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้พ้นทุกข์แล้ว ท่านไม่น้อมเข้าไปหาบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งเลย ครั้นบุคคลผู้ใดปรารถนาความสุขแล้วจงน้อมตัวเข้าไปหาท่าน ท่านก็โปรดให้ได้ความสุขทุกคน จะเข้าใจว่าพระอรหํท่านเลือกหน้า เลือกบุคคล จักติเตียนอย่างนั้นไม่ควร ถ้าแลผู้ใดพ้นกิเลสกามแลพัสดุกามได้แล้ว ชื่อว่าน้อมตัวเข้าไปหาท่านท่านก็โปรดนำเข้าสู่พระนิพพานเสวยสุขอยู่ด้วย ท่านไม่
เลือกหน้าเลือกบุคคลเลย เป็นแต่ผู้จมอยู่ด้วยกิเลสมาก ละกิเลสไม่ได้ ชื่อว่าไม่น้อมตัวเข้าไปหาท่านเอง
    ดูกรอานนท์ ถึงตัวเราตถาคตก็ต้องน้อมตัวเข้าไปหาท่าน ท่านจึงโปรดให้ตถาคตนี้ได้เป็นครูแก่โลกเห็นปานดังนี้ เพราะว่าพระอรหํท่านเป็นผู้ดี แลจักให้ท่านเข้าไปคบหาคนชั่วนั้นเป็นไปไม่ได้ แลผิดธรรมเนียมด้วย สมควรแก่ผู้เลวทรามต่ำช้าจะไปหาท่านผู้ดีผู้สูงศักดิ์โดยส่วนเดียว ข้าแต่พระมหากัสสปะผู้มีอายุ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ดังนี้แล
    ตทนนฺตรํ ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนาสืบไปอีกว่า     อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลผู้ปรารถนาซึ่งพระอรหํ ก็พึงยกตัวแลห้ามใจให้ห่างไกลจากกองกิเลส เพราะพระอรหํท่านเป็นผู้ไกลจากกิเลส จะบริกรรมแต่ด้วยปากด้วยใจว่า อรหํๆ แล้วเข้าใจว่าตนได้เป็นพระอรหํ เห็นว่าเป็นบุญเป็นกุศล จักได้ความสุขในมนุษย์แลสวรรค์แลพระนิพพานจะทำความเข้าใจอย่างนี้ไม่สมควร
    พระนามชื่อว่าพระอรหํนี้ เราบอกไว้ให้รู้ว่าผู้ไกลจากกิเลส จะถือเอาแต่พระนามว่าพระอรหํๆ แล้วเข้าใจว่าตนได้สำเร็จเช่นนี้ไม่ควร เพราะคำที่ว่าพระอรหํ ใครๆ ก็กล่าวได้ จะมิเป็น พระอรหํ กันเต็มโลกหรือ
    ดูกรอานนท์ พระอรหํก็คือเราตถาคตนี้เอง เหตุที่เราปราศจากกิเลส ละกิเลสสิ้นแล้ว เราจึงได้ถึงที่สุดแห่งพระอรหํ องค์พระอรหํกับเราตถาคตก็หากเป็นอันเดียวกัน จะร้องเรียกพระอรหํ ว่าเป็นเราตถาคตก็ไม่ผิด หรือจะร้องเรียกเราพระตถาคตเป็นพระอรหํก็ไม่ผิดผู้ใดละกิเลสได้สิ้นเชิงแล้ว ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าถึงที่สุดแห่งพระอรหํสิ้นด้วยกัน จะได้ถึงพระอรหํ แต่เราตถาคตองค์เดียวหามิได้ จงเข้าใจองค์แห่งพระอรหํ ดังเราตถาคตแสดงมานี้เถิด ข้าแต่พระมหากัสสปะผู้มีอายุพระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ดังนี้แล.

กิเลสและตัณหาล่อลวงให้จิต
ไม่หลุดพ้นจากวัฏสงสาร
    ตทนนฺตรํ ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนาสืบไปอีกว่า            อานนฺท ดูกรอานนท์ สิ่งที่ทำให้สัตว์โลกเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร ทรมานทุกข์อยู่ในนรกแลกำเนิดในสัตว์ดิรัจฉานแล้วๆ เล่าๆ ไม่รู้สิ้นสุดนี้มิใช่สิ่งอื่น คือตัวกิเลสแลตัณหา ล่อลวงให้ดวงจิตของสัตว์ทั้งหลายมิให้พ้นทุกขภัยในวัฏสงสารแลมิได้ถึงพระนิพพานได้ ถ้าผู้ใดมิได้รู้กองแห่งกิเลสแล้ว ผู้นั้นก็จักประสบภัย ได้รับทุกข์ในอบายภูมิทั้ง ๔ มิได้มีเวลาสิ้นสุด
    ดูกรอานนท์
    จงจับตัวตัณหาให้ได้ ถ้าจับได้แล้ว เมื่อตัวต้องทุกข์ ก็จักเห็นได้ว่าตัวเป็นอนัตตา ถ้าจับไม่ได้ ก็เห็นตัวเป็นอนัตตาไม่ได้
    บุคคลทั้งหลายที่มาเป็นสานุศิษย์แห่งพระตถาคตนี้ก็มีความประสงค์ด้วยพระนิพพาน การที่เราจะรู้ว่าดีหรือชั่วกว่ากัน ก็แล้วแต่กิเลสเป็นผู้ตัดสิน ด้วยว่าพระนิพพานเป็นที่ปราศจากกิเลสตัณหา ถ้าผู้ใดเบาบางจากกิเลสตัณหา ผู้นั้นก็เป็นผู้ดียิ่งกว่าผู้ยังหนาอยู่ด้วยกิเลสตัณหา
    ผู้ใดตั้งอยู่ในนิจศีล คือศีล ๕ ผู้นั้นชื่อว่ายังหนาอยู่ด้วยกิเลส แต่ได้ชื่อว่าเป็นผู้บางจากกิเลสได้ชั้นหนึ่ง
    ถ้าตั้งอยู่ในอุโบสถศีล คือศีล ๘ ได้ชื่อว่าบางจากกิเลสได้ ๒ ชั้น
    ถ้ามาตั้งอยู่ในทศศีล คือศีล ๑๐ ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าบางจากกิเลสได้ ๓ ชั้น
    ผู้เข้ามาตั้งอยู่ในศีลพระปาติโมกข์ คือศีล ๒๒๗ ผู้นั้นได้ชื่อว่าบางจากกิเลสได้ ๔ ชั้น
    ผลอานิสงส์ก็มีเป็นลำดับขึ้นไปตามศีลนั้น ผู้ที่มีศีลน้อย อานิสงส์ก็น้อย ผู้ที่มีศีลมาก อานิสงส์ก็มากขึ้นไปตามส่วนของศีล
    บุคคลผู้ที่มิได้ตั้งอยู่ในศีล ๕ ถึงจะมีความรู้ความฉลาดมากมายสักเท่าใดก็ดี ก็ไม่ควรจะกล่าวคำประมาทแก่ผู้ที่มีศีล ๕
    ผู้ที่มีศีล ๕ ก็ควรยินดีแต่เพียงชั้นศีลของตนไม่ควรที่จะกล่าวคำประมาทในท่านผู้ที่มีศีล ๘
    ผู้ที่มีศีล ๘ ก็ควรยินดีแต่เพียงชั้นศีลของตน ไม่ควรที่จะกล่าวคำประมาทในท่านผู้ที่มีศีล ๑๐
    ผู้ที่มีศีล ๑๐ ก็ควรยินดีอยู่ในชั้นศีลของตน ไม่ควรที่จะกล่าวคำประมาทในท่านที่มีศีลพระปาติโมกข์
    ถ้าขืนกล่าวโทษ ติเตียนท่านที่มีศีลยิ่งกว่าตน ชื่อว่าเป็นคนหลง
เป็นคนห่างจากทางสุขในมนุษย์แลสวรรค์ แลพระนิพพานแท้.
    ผู้มีความรู้ความฉลาดสักปานใด ไม่ควรถือตัวว่าเป็นผู้ยิ่งกว่าผู้มีศีล
    ดูกรอานนท์ บุคคลผู้ไม่มีศีล ปราศจากการรักษาศีลไม่ควรกล่าวซึ่งคำประมาทแก่ท่านผู้มีศีล ตั้งตัวอยู่ภายนอกศีล แล้วมาเข้าใจว่าตัวเป็นผู้ดีกว่าท่านผู้มีศีล แล้วกล่าวคำสบประมาทดูหมิ่นในท่านผู้มีศีล บุคคลจำพวกนั้นชื่อว่าเป็นเจ้ามิจฉาทิฏฐิใหญ่ ชื่อว่าเป็นคนหลงทาง เป็นผู้ห่างจากความสุขในมนุษย์ แลสวรรค์
    ดูกรอานนท์ บุคคลผู้ตั้งอยู่ภายนอกศีลนั้นได้ชื่อว่า เป็นผู้ตั้งอยู่ในระหว่างแห่งกิเลสยังเป็นผู้หนาแน่นอยู่ด้วยกิเลส แม้จะเป็นผู้มีความรู้ ความฉลาดมากมายสักปานใดก็ตาม ก็ไม่ควรจะถือตัวว่าเป็นผู้ยิ่งกว่าผู้มีศีล เหตุว่าผู้ที่ไม่มีศีลนั้นยังห่างจากพระนิพพานมาก
    ผู้ที่มีศีลชื่อว่าใกล้ต่อพระนิพพานอยู่แล้ว ถึงจะไม่รู้อะไร รู้แต่เพียงถือศีลเท่านั้น ก็ยังดีกว่าผู้ไม่มีศีลอยู่นั่นเอง เพราะท่านเป็นผู้บางจากกิเลส บุคคลผู้ที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส แม้จะเป็นผู้รู้มากแตกฉานในข้ออรรถแลข้อธรรมประการใดก็ตาม ก็ควรจะทำความเคารพยำเกรงในท่านที่มีศีล จึงจะถูกต้องตามคลองธรรมที่เป็นทางพระนิพพาน ถ้าให้ผู้มีศีลเคารพยำเกรงในผู้ที่ไม่มีศีลแลเป็นผู้
หนาแน่นด้วยกิเลส เป็นความผิด ห่างจากทางพระนิพพานยิ่งนัก
    ดูกรอานนท์ จะถือเอาความรู้แลความไม่รู้เป็นประมาณทีเดียวไม่ได้ต้องถือเอาการละกิเลสได้เป็นประมาณ เพราะว่าผู้จะถึงพระนิพพาน ต้องอาศัยการละกิเลสโดยส่วนเดียว เมื่อละกิเลสได้แล้ว แม้ไม่มีความรู้มาก รู้แต่เพียงการละกิเลสได้เท่านั้น ก็อาจถึงพระนิพพานได้ อันจักพ้นทุกข์ในนรก แลได้เสวยสุขในสวรรค์ แลพระนิพพาน ก็เพราะละเสียได้ซึ่งกิเลสอย่างเดียว
    สิ่งที่ให้คนเราได้รับสุข แลทุกข์อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะกิเลส ครั้นระงับดับกิเลสได้แล้ว เป็นเหตุให้ได้ประสบสุขแลพ้นจากทุกข์ เมื่อละกิเลสไม่ได้สุขก็ไม่ได้ ทุกข์ก็ไม่พ้น.
    การที่จะถึงพระนิพพานต้องละกิเลสเสียให้สิ้น
    ดูกรอานนท์ การที่จะได้ประสบสุขก็เพราะละกิเลสต่างหาก ที่มีความรู้แต่มิได้ละเสียซึ่งกิเลส ย่อมไม่เป็นประโยชน์แม้แต่สิ่งใดสิ่งหนึ่งแก่ผู้มีความรู้นั้น แม้จะรู้มากแสนพระคัมภีร์หรือมีความรู้หาที่สุดมิได้ก็ตาม ก็รู้อยู่เปล่าๆ จะเอาประโยชน์อันใดอันหนึ่งไม่ได้ แลจะให้เป็นบุญเป็นกุศล และได้เสวยความสุขเพราะความรู้นั้นไม่มี     เราตถาคตไม่สรรเสริญผู้ที่มีความรู้มากแต่ไม่มีศีล ผู้ที่มีความรู้
น้อยแต่เป็นผู้ตั้งอยู่ในศีล เราสรรเสริญ แลนับถือผู้นั้นว่าเป็นคนดี
ถ้าผู้ใดนับถือผู้มีกิเลสว่าดีกว่าผู้ไม่มีกิเลส บุคคลผู้นั้นชื่อว่าถือศีลเอาต้นเป็นปลาย เอาปลายเป็นต้น เอาสูงเป็นต่ำ เอาต่ำเป็นสูง
ถ้าถืออย่างนี้ผิดทางแห่งพระนิพพาน เป็นคนมิจฉาทิฏฐิ
    การที่นับถือบุคคลผู้หนาไปด้วยกิเลสดีกว่าผู้ปราศจากกิเลส เราตถาคตไม่สรรเสริญเลย บุคคลจำพวกที่เบาบางจากกิเลสใกล้ต่อพระนิพพาน เราตถาคตสรรเสริญ แลอนุญาตให้เคารพนับถือ
    การที่ทำบุญทำทาน ทำกุศลปรารถนาเพื่อจะให้บุญกุศลนั้นพาตนเข้าสู่พระนิพพาน ถ้าไม่รู้ว่าบำเพ็ญบุญกุศลเพื่อให้ช่วยระงับดับกิเลส ก็เป็นอันบำเพ็ญเสียเปล่า ได้ชื่อว่าเป็นคนหลงโลก หลงทางแห่งพระนิพพาน
    การที่จะถึงพระนิพพานต้องละกิเลสเสียให้สิ้น ถ้ายังละมิได้ก็ไม่ถึงพระนิพพาน ถึงจะรู้มากสักเท่าใดก็ตาม ถ้ายังละกิเลสไม่ได้ ก็รู้เสียเปล่าๆ
    เราตถาคตตั้งศาสนาไว้ไม่ได้หวังเพื่อให้บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งบำเพ็ญประโยชน์อย่างอื่น ตั้งไว้เพื่อประสงค์จะให้บุคคลบำเพ็ญภาวนา เพื่อให้ระงับดับกิเลสตัณหาเท่านั้น
    การบำเพ็ญภาวนา เมื่อไม่คิดว่าจะให้ระงับดับกิเลสตัณหาแห่งตน ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนหลงโลกหลงทาง.

    การรักษาศีล/บำเพ็ญภาวนา จะเกิดอานิสงส์จริงเมื่อจะยกตน
ให้พ้นจากกิเลส การกระทำความเพียร บำเพ็ญภาวนา ทำบุญ     ทำกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง มากน้อยเท่าใดก็ตาม
ก็ให้รู้ว่าบำเพ็ญบุญกุศลแลเจริญภาวนา
เพื่อระงับดับกิเลสตัณหาของตนให้น้อยลง ให้พ้นจากกองกิเลสนั้น เช่นนี้ชื่อว่าเดินถูกทางพระนิพพานแท้

    ดูกรอานนท์ จงพากันประพฤติตามคำสอนที่เราแสดงไว้นี้ ถ้าผู้ใดมิได้ประพฤติตาม ก็พึงเข้าใจว่าผู้นั้นเป็นคนนอกพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่ข้าฯ อานนท์ดังนี้ แล้วจึงทรงแสดงต่อไปอีกว่า
    ดูกรอานนท์ เราตถาคตบัญญัติศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีลพระปาติโมกข์ไว้หลายประเภทนั้น ก็เพราะอยากให้สัตว์ยกตนออกจากกองกิเลส ถ้าบุคคลจำพวกใดตั้งอยู่ในศีล ๕ บุคคลจำพวกนั้นก็บางจากกิเลสชั้นหนึ่ง ตั้งอยู่ในศีล ๘ ก็บางจากกิเลส ๒ ชั้น ตั้งอยู่ในศีล ๑๐ ก็บางจากกิเลส ๓ ชั้น ผู้ตั้งอยู่ในศีลพระปาติโมกข์ ก็บางจากกิเลส ๔ ชั้น
    ดูกรอานนท์ บุคคลผู้บำเพ็ญศีลน้อย ศีลมาก ประเภทใดประเภทหนึ่ง ก็เพื่อให้รู้ซึ่งการละกิเลสแลยกตนให้พ้นจากกิเลส เมื่อไม่รู้เช่นนั้น ได้ชื่อว่าเป็นคนหลง
    ส่วนผลอานิสงส์ที่ได้บำเพ็ญศีลนั้น เราตถาคตได้กล่าวอยู่ว่ามีผล
อานิสงส์จริง แต่ว่ามีอานิสงส์น้อยแลผิดจากทางพระนิพพาน
    ถ้าเข้าใจว่า การรักษาศีลก็เพื่อจะยกตนให้พ้นจากกิเลสรักษาศีล ๕ ได้แล้ว จะเพียรพยายามรักษาศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีลพระปาติโมกข์เป็นลำดับไป เพื่อจะยกตนให้พ้นจากกองกิเลสทีละเล็กทีละน้อยตามลำดับ เมื่อเราตั้งอยู่ในศีลประเภทใดก็ตั้งใจรักษาโดยเต็มความสามารถ รู้ดังนี้จึงมีผลอานิสงส์มาก ไม่เป็นคนหลง แลตรงต่อทางพระนิพพานโดยแท้
    ดูกรอานนท์ กุลบุตรผู้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาเป็นศิษย์แห่งเราตถาคตนี้ ก็หวังเพื่อความระงับดับกิเลส ไม่อยากเกิดในโลกสืบต่อไป เพราะกิเลสนั้นเป็นเชื้อสายสืบโลก บันดลบันดาลใจให้ยินดีไปในทางโลก
    ครั้นเกิดมาแล้วก็ให้เจ็บไข้ แก่ ตาย แลให้ฉิบหายพลัดพรากจากกัน ให้รัก ให้ชัง ให้อด ให้ตี ให้ด่า ให้อยาก ให้ทุกข์ ให้ยากเข็ญใจ
    อาการกิริยาแห่งกิเลสเป็นเช่นนี้ เราตถาคตจึงทรงอนุญาต
ให้บวช เพื่อความระงับดับกิเลส ไม่ให้เกิดมีเป็นเชื้อสายสืบโลกต่อไป เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ตั้งใจรักษาศีลเพื่อให้ดับกิเลส แลตรึกตรองหาอุบายเพื่อทำลายกิเลสอันเป็นต้นเค้าให้ขาดสูญ
    การรักษาศีลพระปาติโมกข์ก็ดี การรักษาข้อวัตรในธุดงค์ ๑๓ นั้นก็ดี ก็เป็นอันประมวลลงในศีลนั้นทุกอย่าง มิใช่ว่าจะรักษามากมายหลายสิ่งหลายอย่างจนสิ้นจนหมดหามิได้ รักษาศีลพระปาติโมกข์ก็ดี รักษาธุดงควัตร ๑๓ ก็ดี ก็มิใช่เพื่อประโยชน์อย่างอื่น เพื่อความระงับดับกิเลสอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อรู้ว่ากิเลสเป็นเค้าเงื่อนแห่งกองทุกข์ กองโทษ กองบาป กองกรรม เช่นนั้นแล้ว ข้อวัตรอันใดที่เป็น
ไปเพื่อจะยกตนออกจากกิเลสได้ ก็จงกระทำข้อวัตรนั้นให้บริบูรณ์เถิด.

การบวชเพื่อระงับกิเลสเท่านั้น
จึงจะเป็นทางสู่พระนิพพาน

    การรักษาศีลพระปาติโมกข์ แลรักษาธุดงควัตรทุกอย่าง เมื่อมิได้เข้าใจว่า เพื่อความระงับดับกิเลส ก็ชื่อว่าเป็นการรักษาเปล่าๆ เมื่อรู้ว่ารักษาเพื่อระงับดับกิเลส ไม่ได้รักษาเพื่ออย่างอื่นแล้ว แม้จะรักษาแต่เล็กแต่น้อยโดยเอกเทศ ไม่ครบตามจำนวนในพระปาติโมกข์ ในจำนวนแห่งธุดงควัตร ก็ได้ชื่อว่าเป็นอันรักษาครบทุกอย่าง เพราะจับต้นจับรากเหง้าแห่งกิเลสได้แล้ว
    เปรียบดังบุรุษตัดต้นไม้ ถ้าตัดเหง้าตัดรากแก้วขาดแล้ว กิ่งก้านสาขาแม้ไม่ต้องตัดก็ตายเอง ถ้าไปตัดรอนแต่กิ่งก้านสาขา รากเหง้าไม่ได้ตัด ต้นไม้นั้นก็อาจงอกงามขึ้นได้อีก
    ดูกรอานนท์ บุคคลที่บวชในพระพุทธศาสนานี้ ก็เปรียบเหมือนบุคคลผู้ตัดต้นไม้ฉะนั้น การบวชมิใช่ว่ามุ่งประโยชน์อย่างอื่น บวชเพื่อระงับดับกิเลสเท่านั้น ถ้าไม่หวังเพื่อความดับกิเลสแล้ว ไม่ต้องบวชดีกว่า การบวชโดยที่ไม่ได้มุ่งเพื่อการดับกิเลส แม้จะมีความรู้วิเศษสักปานใดก็ได้ชื่อว่ารู้เปล่าๆ
    แต่ว่าการที่เป็นผู้มีความรู้ความฉลาดนั้น เรามิได้คิดว่าเป็นผู้ไม่รู้ ไม่ดี ไม่เป็นบุญ ไม่เป็นกุศล ก็คงเป็นอันรู้อันดีเป็นบุญเป็นกุศลอยู่นั่นเอง แต่ว่าเป็นความรู้ที่ผิดจากทางพระนิพพาน

พาลชนสั่งสอนได้น้อย
เพราะถือว่าตนดีแล้ว

    ดูกรอานนท์ เราตถาคตเทศนาไว้โดยอเนกปริยายนั้น ก็เพื่อจะให้หมู่ปุถุชนคนเขลาเห็นเป็นอัศจรรย์ แลเพื่อให้ได้รับความเชื่อความเลื่อมใส เมื่อพาลชนทั้งหลายไม่เห็นเป็นอัศจรรย์แล้ว ก็จักไม่มีความเชื่อความเลื่อมใสในคุณของพระตถาคต ถ้ากล่าวแต่น้อยพอเป็นสังเขปก็ไม่เข้าใจ ไม่เหมือนผู้ที่มีบุญมีวาสนา แม้จะกล่าวแต่เพียงเล็กน้อยก็เข้าใจได้มากมายหลายอย่างหลายนัย
    ธรรมชาติผู้ที่มีปัญญาแท้ ไม่ต้องกล่าวอะไรเลย ก็รู้ได้ด้วยปัญญาของตนเอง ไม่ต้องให้กล่าวเป็นการลำบาก
    เราตถาคตได้รับความลำบากเพราะพาลปุถุชนเท่านั้น ว่ากล่าวสั่งสอนแต่เพียงเล็กน้อยก็ไม่เข้าใจ เพราะเขาถือว่าเขาดีเสีแล้ว แท้ที่จริงความรู้ของเหล่าพาลชนจะรู้ดีไปสักเท่าไร ก็ดีอยู่แต่เพียงมีลมอัสสาสะปัสสาสะเท่านั้น ถ้าลมอัสสาสะปัสสาสะขาดแล้ว ก็มีแต่เน่าเป็นเหยื่อหนอนนอนกลิ้งเหนือแผ่นดิน จะหาสาระสิ่งใดไม่ได้เลย มีแต่เครื่องอสุจิเต็มไปสิ้นทั้งนั้น จะถือแต่ว่าตัวมีความรู้ความดี
    เมื่อมีความรู้ความดีแล้วจักไม่ตายหรือ จะมีความรู้มากรู้มายสักเท่าใดก็คงไม่พ้นตายไปได้ จะมีความรู้ดีวิเศษไปเท่าไร ก็รู้ไป หากตาย จะมีความรู้ดีไปเท่าไร ก็รู้อยู่บนแผ่นดิน จะรู้จะดีให้พ้นแผ่นดินไปไม่ได้ เมื่อลมยังมีก็อยู่เหนือแผ่นดิน เมื่อลมออกแล้วก็คงอยู่เหนือแผ่นดินนั้นเอง จะพ้นจากแผ่นดินไปไม่ได้ แลจะมาถือตัวว่าตนอยู่นั้นเพื่อประโยชน์อะไร ส่วนของเน่าของเหม็นมีอยู่เต็มตัวก็ไม่รู้ไม่เห็น เห็นแต่ว่าตัวรู้ตัวดี ถือเนื้อถือตัวอยู่ เราตถาคตเบื่อหน่ายความรู้ความดีของพาลปุถุชนมากนัก.

ผู้ต้องการพระนิพพานแล้ว
ไม่ควรจะถือว่าตัวรู้ตัวดี

    ดูกรอานนท์ ธรรมดาบุคคลผู้ที่เป็นนักปราชญ์มีปรีชาทั้งหลาย ย่อมไม่ถือเนื้อถือตัวว่า เรารู้ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ท่านจะมีความรู้มากมายเท่าไร ก็มิได้ถือเนื้อถือตัวเหมือนอย่างพาลปุถุชน พวกพาลปุถุชนที่เขาห่างไกลจากพระนิพพาน ก็เพราะเหตุที่เขาถือเนื้อถือตัว การถือเนื้อถือตัวมีมากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้ห่างไกลจากพระนิพพานมากเท่านั้น
    เหตุว่าประตูเมืองพระนิพพานนั้นคับแคบนักหนา ผมเส้นเดียวผ่าออกเป็น ๓ เสี้ยว เอาแต่เสี้ยวเดียวไป แยงเข้าที่ประตูพระนิพพานก็ยังคับแคบเข้าไม่ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อท่านต้องการพระนิพพานแล้ว ไม่ควรจะถือว่าตัวรู้ ตัวดี เป็นผู้ใหญ่เป็นผู้สูงศักด์ิกว่าท่าน ยิ่งถือตนถือตัวขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งให้คับประตูพระนิพพานเข้าเท่านั้น จึงว่าพาลปุถุชนทั้งหลายเป็นผู้ห่างไกลจากพระนิพพาน ด้วยเหตุที่เขามัวถือเนื้อถือตัวว่าตัวรู้ตัวดีอยู่.

ผู้มีปัญญาเลือกรักษาศีล
ข้อวัตรแต่เล็กน้อย
ก็ย่อมได้รับความสุขกายสบายใจ

    ดูกรอานนท์ บุคคลที่เข้ามาบวชเป็นลูกศิษย์ของพระตถาคตแล้ว ยังปล่อยให้ตนได้รับความทุกข์อยู่ ผู้นั้นเรากล่าวว่าเป็นพาลปุถุชน คือเป็นคนโง่เขลา ผู้ที่ไร้ปัญญาเช่นนั้น จะเรียกว่าเป็นศิษย์ของพระตถาคตยังไม่ได้ เมื่อบวชแล้วประพฤติตัวให้เป็นสุขอยู่ทุกเมื่อนั่นแล จึงจะเป็นลูกศิษย์ของพระตถาคตแท้
    เราตถาคตหวังเพื่อความสุขจึงได้ออกบวช เมื่อบวชแล้วมาทำตนของตนให้เป็นทุกข์ บุคคลผู้นั้นชื่อว่าเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาหาที่เปรียบมิได้ ถ้าบุคคลผู้มีปัญญาแล้วไม่ทำตัวเป็นทุกข์เลย บุคคลผู้ไม่มีปัญญาจึงทำตัวให้เป็นทุกข์ ไม่เฉพาะแต่นักบวชจำพวกเดียว แม้คฤหัสถ์ ถ้าหาปัญญามิได้ก็ได้รับความทุกข์ยากลำบากเหมือนกัน
    ปราชญ์ผู้มีปรีชา เมื่อออกบวชแล้ว ท่านย่อมพิจารณาเห็นแจ้งซึ่งประโยชน์และสิ่งซึ่งมิใช่ประโยชน์ ท่านพิจารณาเห็นแจ้งซึ่งศีลและข้อวัตรที่หนักและเบาแล้ว ท่านไม่ต้องรักษามากมายหลายอย่างหลายประการนัก เลือกรักษาแต่เล็กแต่น้อย ก็ย่อมได้รับความสุขกายสบายใจ
    ผู้ที่โง่เขลาเบาปัญญานั้น ย่อมรักษามากมายหลายอย่างต่างๆ นานา เพราะเหตุที่ต้องรักษามากเกินไปจึงเป็นทุกข์ ผู้ที่มีปัญญาแล้ว ย่อมเลือกรักษาแต่สิ่งที่จริงที่แท้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก็ย่อมนำมาซึ่งความสุข
    เปรียบเหมือนบุคคลผู้ฉลาด ไปตัดไม้ในป่ามาทำกิจกรรมอย่างหนึ่ง เมื่อตัดไม้แล้วก็ถากเปลือกและกระพี้ทิ้งเสีย เหลือไว้แต่ที่ต้องการ แล้ววัดตัดเอาแต่พอแก่การงานของตัวเท่านั้น ไม่ต้องลำบากแก่การแบกการหาม ส่วนบุคคลผู้ที่ไม่ฉลาด ไม่รู้เท่าต่อการงานที่พึงจะทำ เมื่อไปตัดไม้ได้แล้ว จะถากเอาแต่ที่ต้องการก็กลัวจะเสียเพราะตัวไม่เข้าใจการงาน ต้องแบกมาทั้งเปลือกทั้งกระพี้ทั้งส่วนยาว ได้รับความเหนื่อยนักอย่างทวีคูณ ก็เพราะความที่ตัวเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา
    ดูกรอานนท์ การที่รักษาแก้วไม่ดี ไม่มีราคา แม้จะรักษามากหลายพันดวง ก็สู้ผู้ที่รักษาแก้วที่ดีที่มีราคาดวงเดียวไม่ได้ แก้วที่ไม่ดีไม่มีราคา จะขายก็ไม่ได้ จะเก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์ ตกลงต้องรักษาไปเปล่าๆ ส่วนแก้วที่มีราคานั้น จะขายก็ได้เงินมาก หากจะเก็บไว้ก็เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ตน การเรียนมนต์แลเรียนคาถาที่ไม่ดี
ไม่ขลังแม้จะเรียนตั้งร้อยตั้งพันบท ก็สู้มนต์คาถาที่ดีที่ขลังบทเดียวไม่ได้ แม้การที่รักษาพระวินัยบัญญัติแลข้อวัตรก็เหมือนกันเช่นนั้น
เมื่อรู้ประโยชน์แห่งศีลและข้อวัตรแล้ว ก็ไม่ต้องรักษามาก เมื่อไม่รู้ไม่เข้าใจก็รักษาพร่ำเพรื่อไปจนไม่มีเขตแดน จึงต้องได้รับความลำบาก เหมือนผู้ที่ไม่รู้การงาน ต้องแบกเอาไม้ทั้งเปลือกทั้งกระพี้ ทั้งส่วนยาวไปเปล่าๆ
    ฉะนั้น ผู้ที่มีปรีชา ท่านรักษาวินัยและข้อวัตรไม่มาก หากแต่ได้รับอานิสงส์เพียงพอเหมือนอย่างผู้รักษาแก้วดีดวงเดียวหรือผู้ที่เรียนมนต์และคาถาที่ดีที่ขลังบทเดียวเท่านั้น ก็ให้สำเร็จประโยชน์ได้เต็มที่ ฉะนั้น.

ดับกิเลสตัณหาได้มากเท่าไร
ก็เป็นบุญเป็นกุศลมากเท่านั้น

    ดูกรอานนท์ การที่เราตถาคตต้องการให้บวชนั้น ก็เพื่อจะให้ได้บุญและกุศล อะไรชื่อว่าเป็นตัวบุญตัวกุศล ตัวบุญตัวกุศลนั้นไม่ใช่สิ่งอื่น คือความดับเสียซึ่งกิเลส การรักษากิจวัตรแลพระวินัยอย่างไรก็ตาม ถ้าดับกิเลสได้มากก็เป็นบุญมาก ถ้าดับกิเลสได้น้อยก็เป็นบุญน้อย ถ้าดับกิเลสไม่ได้ก็ไม่เป็นบุญเลย
    บาปอกุศลนั้นก็ไม่ใช่อื่น คือตัวกิเลสนั้นเอง กิเลสก็คือตัวตัณหานั้นเอง ดับกิเลสตัณหาได้เท่าใดก็เป็นบุญเท่านั้น ถ้าดับกิเลสตัณหาไม่ได้ ก็เป็นอันไม่ได้บุญไม่ได้กุศลเลย
    ผู้ที่ไม่รู้จักบุญและบาปนั้น มาทำความเข้าใจว่าบวชรักษาข้อวัตรรักษาศีลเอาบุญ บุญนั้นมีอยู่นอกตนนอกตัว มีอยู่ที่ดินฟ้าอากาศ เมื่อบวชได้รักษากิจวัตรแล้ว บุญนั้นจักเลื่อนลอยมาจากสถานที่ต่างๆ มีนภาลัย เวหากาศเป็นต้น มานำเอาตัวขึ้นไปสู่สวรรค์ แลพระนิพพาน เห็นไปโดยผิดทางเช่นนี้ ล้วนแต่เป็นคนหลงทั้งสิ้น
    ดูกรอานนท์ผู้ที่ไม่รู้จักบาป เข้าใจว่าบาปนั้นอยู่นอกตนนอกตัว เมื่อทำบาปแล้ว บาปนั้นก็จะลุกมาแต่นรกใต้พื้นดิน มาจับกุมคุมเอาตัวลงไปสู่นรก การทำความเข้าใจอย่างนี้ ย่อมเป็นคนหลงทั้งนั้น
    ดูกรอานนท์ สุขก็ดีทุกข์ก็ดี บาปบุญคุณโทษก็ดี ย่อมอยู่ที่เรา จะเข้าใจว่าบาปบุญอยู่ภายนอกตัว ทำบุญแล้วคอยท่านบุญจักมานำเอาตัวไปสู่สุคติ คิดอย่างนี้ตั้งร้อยชาติแสนชาติก็ไม่อาจได้

    อันว่าบุญบาป สุข ทุกข์ ย่อมไม่มี ณ ภายนอกตัว
บุญ กุศล แลความสุขนั้นก็คือดวงจิต
ส่วนบาป กรรม ทุกข์ โทษ นั้นคือหมู่แห่งตัณหา
ตัณหานั้นจักมี ณ ที่อื่นนอกจากตัวตนของเราแล้วไม่มี
ตัวบุญแลตัวบาปก็อยู่ที่ใจของเรา
เมื่อตัวไม่ชอบทุกข์ อยากได้ความสุข
ก็จงพยายามแก้ใจของเรานั้นเถิด

    ถ้าเราไม่เป็นผู้แสวงหาความสุขและให้พ้นจากทุกข์แล้ว
ใครเขามาช่วยตัวเราให้พ้นจากทุกข์ ให้ได้รับความสุขเล่า
เพราะสุขทุกข์อยู่ที่ตัวของเรา
เมื่อเราหาเองมิได้แล้ว ใครคนอื่นที่ไหนเขาจะมาหาให้เราได้.

บุญกุศล สวรรค์ และนิพพาน
เกิดจากตัวเราเองไม่มีผู้ ใดนำมาให้

    ดูกรอานนท์ บุคคลผู้ที่เข้าใจว่าบุญกุศล สวรรค์ แลพระนิพพาน มีผู้นำมาให้ บาปกรรมทุกข์โทษ นรกและสัตว์ดิรัจฉานมีผู้พาไปทั้งสิ้น บุคคลผู้ที่เข้าใจอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้หลงโลก หลงทาง หลงสงสาร บุคคลจำพวกนั้น แม้จะทำบุญให้ทานสร้างกุศลใดๆ ที่สุดจนออกบวชในพระพุทธศาสนาก็หาความสุขมิได้ จะได้เสวยแต่ความทุกข์โดยถ่ายเดียว
    ดูกรอานนท์ บุญกับสุข หากเป็นอันเดียวกัน เมื่อมีบุญก็ชื่อว่ามีความสุข บาปกับทุกข์เป็นอันเดียวกัน เมื่อมีบาปก็ได้ชื่อว่ามีทุกข์ ถ้าไม่รู้จักบาปก็ละบาปไม่ได้ ถ้าไม่รู้จักบุญก็หาบุญไม่ได้
    เปรียบเหมือนเราอยากได้ทองคำ แต่เราหารู้ไม่ว่าทองคำนั้นมีรูปพรรณสัณฐานอย่างไร ถึงทองคำนั้นมีอยู่แลเห็นอยู่เต็มตา ก็ไม่อาจถือเอาได้โดยเหตุที่ไม่รู้จัก แม้บุญก็เหมือนกัน ถ้าไม่รู้จักบุญก็หาบุญไม่ได้ อย่าว่าแต่บุญซึ่งเป็นของไม่มีรูปร่างเลย แม้แต่สิ่งของอื่นๆ ที่มีรูปร่าง ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักก็ถือเอาไม่ได้
    ดูกรอานนท์ บุคคลที่ไม่รู้จักบุญแลไม่รู้จักสุข ทำบุญจะไม่ได้บุญไม่ได้สุขเสียเลยเช่นนั้น ตถาคตก็หากล่าวปฏิเสธไม่ ทำบุญก็คงได้บุญแลได้สุขอยู่นั้นแล บุญแลความสุขก็บังเกิดอยู่ที่ตัวเรานั้นเอง แต่ทว่าตัวหากไม่รู้ไม่เข้าใจ จึงเป็นอันมีบุญแลสุขไว้เปล่าๆ
    ดูกรอานนท์ บุคคลจำพวกที่ไม่รู้จักบุญคือความสุข เมื่อทำบุญแล้วปรารถนาเอาความสุข น่าสมเพชเวทนานักหนา ตัวทำบุญก็ได้บุญในทันใดนั้นเอง มิใช่ว่า เมื่อทำแล้วนานๆ จึงจักได้ ทำเวลาใดก็ได้เวลานั้น แต่ตัวไม่รู้ นั่งทับนอนทับบุญอยู่เปล่าๆ ตัวก็ไม่ได้รับบุญคือความสุข เพราะตัวไม่รู้ จึงว่าเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา
    พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ด้วยประการดังนี้
ข้าแต่พระมหากัสสปะผู้มีอายุ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนา ต่อไปอีกว่า     อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลที่เข้าใจว่าทำบุญไว้มากๆ แล้ว จะรู้แลไม่รู้ก็ไม่เป็นไร บุญหากจักพาไปให้ได้รับความสุขเองเช่นนี้ ชื่อว่าเป็นคนหลงโดยแท้ เพราะเหตุไรบุญจึงจักพาตัวไปให้ได้รับความสุข เพราะบุญกับสุขเป็นอันเดียวกัน เมื่อไม่รู้สุขก็คือไม่รู้บุญ เมื่อเรารู้สุข เห็นสุข ก็คือเรารู้บุญเห็นบุญนั้นเอง จะให้ใครพาไปหาใครที่ไหน.

จะไปสวรรค์/นิพพานต้องไปด้วยตนเอง
จะพาเอาคนอื่นไปด้วยไม่ได้

    ดูกรอานนท์ สุขทุกข์นี้ใครจักช่วยใครไม่ได้ ใครจะพาใครไปนรก แลสวรรค์ แลพระนิพพานนั้นไม่ได้ จะไปนรกหรือจะไปสวรรค์ และพระนิพพานต้องไปด้วยตนเอง จะพาเอาคนอื่นไปด้วยไม่ได้เป็นอันขาด ก็แลผู้ใดอยากพ้นนรกสุกในเมืองผี ก็จงทำตนให้พ้นจากนรกดิบในเมืองคนเรานี้เสียก่อน จึงจะพ้นจากนรกสุกในเมืองผีได้
    ถ้าอยากได้ความสุขในภายหน้า ก็จงทำตนให้ได้ให้ถึงสวรรค์ดิบในเมืองคนเรานี้เสียก่อน ถ้าไม่ได้สวรรค์ดิบในเมืองคนนี้ แม้เมื่อตายไปแล้วก็ไม่อาจได้สวรรค์สุกเลย
    ถ้าไม่ได้สวรรค์ดิบไว้ก่อนแล้วตายไปก็มีนรกเป็นที่อยู่โดยแท้ แม้ความสุขในสวรรค์ก็ยังไม่ปราศจากทุกข์ มิใช่ว่าจะมีทุกข์แต่สวรรค์ดิบในเมืองคนเรานี้เท่านั้นก็หามิได้ ถึงสวรรค์สุกในชั้นฟ้าชั้นใดๆ ก็ดี สุขกับทุกข์ก็มีอยู่เสมอกัน เป็นความสุขที่ยังไม่ปราศจากทุกข์ ไม่เหมือนพระนิพพานซึ่งเป็นเอกันตบรมสุข มีแต่สุขโดยส่วนเดียว ไม่ได้เจือปนด้วยทุกข์เลย
    ดูกรอานนท์ อันว่าสวรรค์ดิบในเมืองคนเรานี้ ก็คือความได้เป็นเจ้าเป็นใหญ่ในสมบัติข้าวของและเกียรติยศ บริวารยศและนามยศ
เมื่อบุคคลผู้ใด ได้เป็นเจ้าเป็นใหญ่เช่นนั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้ได้เสวยสุขในสวรรค์ดิบ
    ผู้ปรารถนาความสุขในภายภาคหน้า ก็จงให้ได้รับความสุขแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ อย่าเห็นแก่ความลำบากยากแค้น ในสวรรค์ชั้นใดๆ จะเป็นสวรรค์ดิบในเมืองคน หรือสวรรค์สุกในเมืองฟ้าทุกชั้น ย่อมเจือปนอยู่ด้วยทุกข์ทั้งนั้น ไม่แปลกแตกต่างกัน และไม่มากไม่น้อย
กว่ากัน ความสุขในสวรรค์ก็เป็นความสุขจริง จะว่าไม่สุขนั้นไม่ได้แต่ว่าเป็นสุขที่เจืออยู่ด้วยทุกข์ แม้ถึงกระนั้น ก็คงดีกว่าตกอยู่ในนรกโดยแท้
    ดูกรอานนท์ สวรรค์ดิบในชาตินี้ กับสวรรค์สุกในชาติหน้า อย่าสงสัยว่าจะต่างกัน ถึงจะต่างกันบ้างก็เพียงเล็กน้อย เมื่อต้องการความสุขเพียงใด ก็จงพากเพียรให้ได้แต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ในเมืองคนนี้ จะนั่งจะนอนคอยให้สุขมาหานั้นไม่ได้ ไม่เหมือนพระนิพพาน
ความสุขในพระนิพพานนั้น ไม่ต้องขวนขวายเมื่อจับถูกที่แล้วนั่งสุขนอนสุขได้ทีเดียว
    ความสุขในพระนิพพานจะว่ายากก็เหมือนง่าย จะว่าง่ายก็เหมือนยาก ที่ว่ายากนั้นเพราะไม่รู้ไม่เห็น พาลปุถุชนคนตามืดทั้งหลายรู้ไม่ถูกที่ เห็นไม่ถูกที่ จับไม่ถูกที่ จึงต้องพากเพียรพยายามหลายอย่างหลายประการ และเป็นการเปล่าจากประโยชน์ด้วย
    ส่วนท่านที่มีปัญญาพิจารณาถูกที่ จับถูกที่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรให้ยากหลายสิ่งหลายอย่างนั่งๆ นอนๆ อยู่เปล่าๆเท่านั้น ความสุขในพระนิพพานก็มาบังเกิดขึ้นแก่ท่านได้เสมอ เพราะเหตุฉะนั้น จึงว่าความสุขในพระนิพพานไม่เป็นสุขที่เจือปนไปด้วยทุกข์.
    อยากรู้ว่าได้รับความสุขหรือทุกข์ ให้สังเกตที่ใจของเราในเวลาที่ยังไม่ตาย
    ดูกรอานนท์ เมื่ออยากรู้ว่า เราจะได้รับความสุขในสวรรค์หรือจะได้รับความทุกข์ในรก ก็จงสังเกตดูใจของเราในเวลาที่ยังไม่ตายนี้
    ทุกข์เป็นส่วนนรกดิบ เมื่อตายแล้วก็ต้องไปตกนรกสุก สุขเป็นส่วนสวรรค์ดิบ เมื่อตายแล้วก็ได้ขึ้นสวรรค์สุก
    เมื่อยังเป็นคนอยู่ มีสุขหรือมีทุกข์มากเท่าใด แม้เมื่อตายไป
ก็คงมีสุขและมีทุกข์มากเท่านั้น ไม่มีพิเศษกว่ากัน
    บุคคลผู้ปรารถนาความสุขในภพนี้และภพหน้าแล้ว จงรักษาใจให้ได้รับความสุข ส่วนตัวตนร่างกายข้างนอกนั้นไม่สำคัญ จักได้รับความสุขความทุกข์ประการใดก็ช่างเถิด เมื่อตายแล้ว ก็ทิ้งอยู่เหนือแผ่นดิน หาประโยชน์มิได้
    ส่วนใจนั้นเป็นของติดตามตน ไปในอนาคตเบื้องหน้าได้ เพราะจิตใจเป็นของไม่ตาย ที่ว่าตายนั้น ตายแต่รูป แต่ร่างกาย ธาตุแตก ขันธ์ดับเท่านั้น ถ้าจิตใจตายแล้วก็ไม่ต้องเกิดไม่ต้องตายต่อไปอีก กล่าวคือถึงพระนิพพาน
    ดูกรอานนท์ ในอดีตชาติ เราตถาคตก็ได้หลงท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏนี้ช้านาน นับด้วยร้อยด้วยพันแห่งชาติเป็นอันมาก ทำบุญทำกุศลก็ปรารถนาแต่จักให้พ้นทุกข์ให้เสวยสุขในเบื้องหน้า เข้าใจว่าตายแล้วจึงจะพ้นจากทุกข์
    ครั้นเมื่อตายจริงก็ตายแต่ธาตุขันธ์เท่านั้นส่วนใจนั้นไม่ตาย จึงต้องไปเกิดอีก เมื่อไปเกิดอีกก็ต้องตายอีก เป็นเช่นนี้จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร
    ที่นิยมกันว่าตาย ก็คือตายเน่าตายเหม็นกันอยู่อย่างทุกวันนี้ ชื่อว่าตายเล่น ตายไม่แล้ว ตายแล้วเกิดๆ แล้วตาย หาต้นหาปลายมิได้   
    ที่ตายแท้ ตายจริง คือตายทั้งรูปแตกขันธ์ดับ ตายทั้งจิตทั้งใจ มีแต่พระพุทธเจ้ากับเหล่าพระอรหันตขีณาสพเท่านั้น ท่านเหล่านี้ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก
    ดูกรอานนท์ ในอดีตชาติเมื่อเรายังไม่รู้ เข้าใจว่าตายแล้วจึงจะพ้นทุกข์ ทำบุญทำกุศลก็มุ่งเอาแต่ความสุขในเบื้องหน้า ครั้นตายไปก็หาได้พ้นจากทุกข์ตามความประสงค์ไม่ มาในปัจฉิมชาตินี้ เราจึงรู้ว่า สวรรค์แลพระนิพพานนี้มีอยู่ที่ตัวเอง เราจึงได้รีบเร่งปฏิบัติให้ได้ถึงแต่เมื่อยังเป็นคนอยู่ จึงพ้นจากทุกข์ และได้เสวยสุขอันปราศจาก
อามิส เป็นพระบรมครูสั่งสอนเวไนยสัตว์อยู่ทุกวันนี้
    ข้าแต่พระมหากัสสปะ ผู้มีอายุ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ดังนี้แล.

สวรรค์/นิพพานต้องทำเอง
ด้วยการดับกิเลสตัณหา

    พระพุทธเจ้าบอกให้รู้แต่ทางไปเท่านั้น
    ตทนนฺตรํ ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนาสืบไปอีกว่า
    อานนทฺ ดูกรอานนท์ ความทุกข์ในนรกและความสุขในสวรรค์และพระนิพพานนั้น ใครจะช่วยใครไม่ได้ เมื่อใครชอบอย่างใดก็ทำอย่างนั้น แม้เราตถาคตก็ช่วยใคร ให้พ้นทุกข์และช่วยใครให้ได้สวรรค์แลพระนิพพานไม่ได้ ได้แต่เพียงสั่งสอนชี้แจงให้รู้สุขรู้ทุกข์ ให้รู้สวรรค์ ให้รู้พระนิพพาน ด้วยวาจาเท่านั้น
    อันกองทุกข์ โทษ บาปกรรมทั้งปวงนั้น ก็คือตัวกิเลสตัณหา
ครั้นดับกิเลสตัณหาได้แล้ว ก็ไม่ต้องตกนรก
ถ้าดับกิเลสตัณหาได้มาก ก็ขึ้นไปเสวยสุขอยู่ในสวรรค์
ถ้าดับกิเลสตัณหาได้สิ้นเชิงหาเศษมิได้แล้ว
ก็ได้เสวยสุขในพระนิพพานทีเดียว

    เราตถาคตบอกให้รู้แต่ทางไปเท่านั้น ถ้าผู้รู้ทางแห่งความสุขแล้วประพฤติตามปฏิบัติตาม ก็ได้ประสบสุขสมประสงค์ อย่าว่าแต่เราตถาคตเลย แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ล่วงไปแล้วนับไม่ถ้วนก็ดี และจักมาตรัสรู้ในกาลภายหลังก็ดี จักมาช่วยพาเอาสัตว์ทั้งหลายไปให้พ้นจากทุกข์ แล้วให้ได้เสวยสุขเช่นนั้นก็ไม่มี มีแต่มาแนะนำสั่งสอน ให้รู้สุข รู้ทุกข์ รู้สวรรค์ แลพระนิพพาน อย่างเดียวกันกับเราตถาคต
นี้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ทรงไว้ซึ่งทศพลญาณ มีอาการเหมือนอย่างเราตถาคตนี้ทุกๆ องค์
    บุคคลจำพวกใดเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าต่างกันด้วยศีล ด้วยฌาน ด้วยญาณ ด้วยอิทธิบุคลจำพวกนั้นเป็นคนหลง
    ผู้ที่ได้นามว่าพระพุทธเจ้านั้น ต้องมีทศพลญาณ สำหรับขับขี่เข้าสู่พระนิพพานด้วยกันทุกพระองค์ จะได้เป็นพระพุทธเจ้าแต่เราเองพระองค์เดียวนั้นหามิได้ ผู้ใดมีทศพลญาณ ผู้นั้นได้ชื่อว่าพระพุทธเจ้าด้วยกันทุกองค์ ไม่ควรจะมีความสงสัย ญาณ ๑๐ ประการ นั้นเป็นเครื่องหมายของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีญาณ ๑๐ ประการแล้ว จะรู้ดี มีอิทธิ ดำดิน บินบนได้อย่างไรๆ ก็ตาม ก็ไม่เรียกว่าพระพุทธเจ้า ถ้ามีญาณ ๑๐ ประการแล้ว จะไม่มีอิทธาศักดานุภาพ อย่างไรก็ตาม ก็ให้เรียกท่านผู้นั้นว่าพระพุทธเจ้า เพราะทศพลญาณ ๑๐ ประการ เป็นเครื่องหมายของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีเครื่องหมายอย่างนี้ ผู้ใดมีฤทธ์ิมีเดชขึ้น ก็จักตั้งตัวเป็นพระพุทธเจ้าเต็มบ้านเต็มเมือง ก็จักเป็นทางแห่งความเสียหายวายโลกเท่านั้น

ดูกรอานนท์ ทศพลญาณ 10 ประการ นั้นเป็นของสำคัญตั้งอยู่สำหรับโลก ไม่มีผู้ใดแต่งตั้งขึ้น เป็นแต่เราตถาคตเป็นผู้รู้ผู้เห็นก่อน แล้วยกออกตีแผ่ให้โลกเห็น พระพุทธเจ้าทั้งหลายบำเพ็ญญาณ 10 ประการได้แล้ว ก็ขับขี่เข้าสู่พระนิพพาน เมื่อถึงพระนิพพานแล้วก็ปล่อยวางญาณนั้นไว้ให้แก่โลกตามเดิม หาได้เอาตัวตนจิตใจเข้าสู่พระนิพพานด้วยไม่

เอาจิตไปได้เพียงนรก แลสวรรค์ แลพรหมโลกเท่านั้น

ส่วนพระนิพพานนั้น ถ้าดับจิตใจไม่ได้แล้วก็ไปไม่ได้ ถ้าเข้าใจว่าจักเอาจิตใจไปเป็นสุขในพระนิพพานแล้ว ต้องหลงขึ้นไปเป็นอรูปพรหมเป็นแน่.

ดูกรอานนท์ การตกนรกแลขึ้นสวรรค์จะเอาตัวไปไม่ได้ เอาแต่จิตไป จิตนั้นใครจะจับต้องลูบคลำไม่ได้ เป็นแต่ลมเท่านั้น เพราะจิตเป็นของละเอียด ใครจะจับถือไม่ได้ เมื่อจิตไปตกนรก ใครจะไปช่วยยกขึ้นได้ ถ้าจิตนั้นเป็นตัวเป็นตนก็พอช่วยกันได้ บุคคลจำพวกใดคอยท่าให้ผู้อื่นมาช่วยยกตัวให้พ้นจากทุกข์ นำตัวไปให้ได้เสวยสุข บุคคลจำพวกนั้นเป็นคนโง่เขลาหาปัญญามิได้

แต่เราตถาคต รู้นรกสวรรค์ ทุกข์สุขอยู่แล้ว แลหาอุบายที่จะพ้นจากทุกข์ให้ได้เสวยสุข ก็เป็นการแสนยากแสนลำบาก จะไปพาจิตใจของท่านผู้อื่นให้พ้นจากทุกข์ได้อย่างไร ถึงแม้พระพุทธเจ้า
องค์จะตรัสรู้ในเบื้องหน้าก็เหมือนกัน มีแต่แนะนำสั่งสอนให้รู้สุข ทุกข์ สวรรค์ และพระนิพพานเท่านั้น ผู้ที่ต้องการสุขทุกข์อย่างใดนั้น แล้วแต่อัธยาศัย แต่ต้องศึกษาให้รู้แท้แน่นอนแก่ใจเสียก่อนว่า ทุกข์ในนรกเป็นอย่างนั้น สุขในสวรรค์เป็นอย่างนั้น สุขในพระนิพพานเป็นอย่างนั้น เมื่อรู้แล้วยังจักมีทางได้ทางถึงบ้าง คงจักไม่ท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสารเนิ่นนานเท่าไรนัก

ถ้าไม่รู้แจ้งแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่อาจจักพ้นได้เลยและได้ชื่อว่าเป็นผู้เกิดมาเสียชาติ เป็นมนุษย์เสียความปรารถนาเดิม ซึ่งหมายว่าจะเป็นผู้เกิดมาเพื่อความสุข ครั้นเกิดมาแล้วก็พลอยไม่ให้ตนได้รับความสุขซ้ำยังทำตนให้จมอยู่ในรก ทำให้เสียสัตย์ เสียความปรารถนาแห่งตน น่าสังเวชสลดใจยิ่งนัก

ข้าแต่พระมหากัสสปะผู้มีอายุ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ดังนี้แล.

สิ่งที่จะช่วยให้พ้นจากทุกข์ได้มีแต่
อำนาจแห่งกุศลผลบุญเท่านั้น

อิโต ปรํ คิริมานนฺทสุตฺตํ อนุสนฺธึ ฆเฏตฺวา ภาสิสฺสามีติ 

เบื้องหน้า แต่นี้ จักแสดงคิริมานนทสูตรสืบต่อไป มีคำพระอานนท์ ปฏิญญาว่าดังนี้

  • ภนฺเต อริยกสฺสป ข้าแต่พระอริยเจ้าทั้งหลาย มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน ภควา อันว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า เทเสสิ ก็ตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ สืบต่อไปว่า
  • อานนฺท ดูกรอานนท์ อันว่าความทุกข์แลความสุขนั้นก็มีอยู่แต่นรกแลสวรรค์เท่านั้น ส่วนพระนิพพานมีอยู่นอกสวรรค์แลนรกต่างหาก 

บัดนี้จักแสดงทุกข์แลสุขในนรก แลสวรรค์ ให้แจ้งก่อน จิตใจของเรานี้เมื่อมีทุกข์หรือมีสุขแล้ว ใครจะสามารถมาช่วยยกออกจากจิตของเราได้ อย่าว่าแต่ตัวเราเลยแม้ท่านผู้อื่นเราก็ไม่สามารถจะช่วยยกออกได้ มีอาการเหมือนกันทุกรูปทุกนามทุกตัวตนสัตว์บุคคล

อนึ่ง เมื่อท่านมีทุกข์แล้ว จะนำทุกข์ของท่านมาให้เราก็ไม่ได้ เรามีทุกข์แล้วจะนำทุกข์ไปให้ท่านผู้อื่นก็ไม่ได้ แม้ความสุขก็มีอาการเช่นกัน สุขแลทุกข์ไม่มีใครจะช่วยกันได้ สิ่งที่จะช่วยให้พ้นจากทุกข์ได้ มีแต่อำนาจแห่งกุศลผลบุญ มีการให้ทานแลรักษาศีลเป็นต้นเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ช่วยให้พ้นจากทุกข์ได้ มนุษย์แลเทวา อินทร์พรหม แลใครๆ จะมาช่วยให้พ้นทุกข์และให้ได้เสวยสุขนั้นไม่ได้

ที่สุดแม้เราตถาคตผู้ทรงไว้ซึ่งทศพลญาณเห็นปานนี้ ก็ไม่อาจช่วยใครได้ ได้แต่เป็นผู้ช่วยแนะนำ ตักเตือนให้รู้สุข ทุกข์ แลสวรรค์นรกเท่านั้น ตัวต้องยกตัวเอง

ถ้ารู้แล้วว่านรกแลสวรรค์อยู่ที่ตัว แล้วยกตัวให้ขึ้นสวรรค์ไม่ได้
ก็ชื่อว่าเกิดมาเสียชาติและเสียเวลาที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา

น่าเสียดายชาติที่ได้เกิดเป็นรูปร่างกายมี อวัยวะพรักพร้อมบริบูรณ์ทุกอย่าง ทั้งได้พบพระพุทธศาสนาด้วย สมควรจะได้สวรรค์และพระนิพพานโดยแท้ เหตุไฉนจึงเหยียบยำ่ตัวเองให้จมอยู่ในนรกเช่นนั้น น่าสังเวชนัก.สุข ทุกข์ อยู่ที่ใจ

ดูกรอานนท์
สุขทุกข์นั้นให้หมายที่จิต จิตสุขเป็นสวรรค์ จิตทุกข์เป็นนรก
จะเข้าใจว่านรกแลสวรรค์มีอยู่นอกจิตนอกใจเช่นนั้น
ได้ชื่อว่าเป็นคนหลงนรกแลสวรรค์
บาปบุญคุณโทษย่อมมีอยู่ในอกในใจทั้งสิ้น

อยากพ้นทุกข์ก็ให้รักษาจิตใจจากสิ่งที่เป็นบาปเป็นทุกข์เสีย

ถ้าต้องการสวรรค์ก็ทำงานที่หาโทษมิได้เพราะการบุญ การกุศล
นั้น   เมื่อทำก็ไม่เดือดร้อน แลเมื่อทำแล้วระลึกถึง ก็ให้เกิดความสุข
สำราญบานใจทุกเมื่อ เช่นนี้ชื่อว่าเราได้ขึ้นสวรรค์บานใจทุกเมื่อ เช่นนี้ชื่อว่าเราได้ขึ้นสวรรค์

แลถ้าอยากได้สุขในพระนิพพาน ก็ให้วางเสียซึ่งสุขและทุกข์
คือวางจิตใจอย่าถือว่าเป็นของๆ ตน ก็ชื่อว่าได้ถึงพระนิพพาน เพราะว่าใจเป็นใหญ่ เป็นประธานสุขทุกข์ทั้งสวรรค์แลพระนิพพาน สำเร็จแล้วด้วยใจ คือว่ามีอยู่ที่จิตใจของเราทั้งสิ้น

บุคคลจำพวกใดไม่รู้ว่าของเหล่านี้มีในตนแล้วไปเที่ยวค้นคว้าหาในที่อื่นบุคคลจำพวกนั้นชื่อว่าเป็นคนหลงคนเมา เป็นผู้หนาอยู่ด้วย

กิเลสตัณหา มืดมนอยู่ด้วยมลทินแห่งนรก

ดูกรอานนท์ สัตว์ที่ตกอยู่ในนรกมากมายนับมิได้แน่นอัด
ยัดเยียดกันอยู่ในนรก ดังข้าวสารหรือเมล็ดถั่วเมล็ดงาในกระสอบ แต่ก็ไม่เห็นกันได้ ด้วยเขาไม่รู้ไม่เห็นซึ่งนรก ไม่รู้สุขทุกข์ บาปบุญคุณโทษ ไม่รู้ว่าจิตของตนเป็นทุกข์เป็นสุข มีแต่มัวเมาอยู่ด้วยตัณหา กาม ราคะ กิเลส จึงชื่อว่าตกอยู่ในนรกยัดเยียดกันดังข้าวสารหรือเมล็ดถั่วเมล็ดงาในกระสอบ ร้องเรียกหากัน ไม่เห็นกัน คือไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นสุขแห่งกันและกัน เท่านั้นเอง.


ผู้ที่รู้เห็นจิตใจของผู้อื่นได้นั้น มีแต่พระพุทธเจ้าแลพระอรหันต์เท่านั้น

ดูกรอานนท์ จิตใจนั้นใครไม่แลเห็นของกันแลกันได้ ผู้ที่รู้เห็นจิตใจของผู้อื่นได้นั้นมีแต่พระพุทธเจ้าแลพระอรหันต์เท่านั้น             พระพุทธเจ้าที่จะรู้เห็นจิตใจของผู้อื่นได้ ก็ด้วยญาณแห่งพระอรหันต์ ถ้าละกิเลสตัวร้ายมิได้ คุณความเป็นไปแห่งพระอรหันต์ก็ไม่มาตั้งอยู่ในสันดาน จึงไม่อาจหยั่งรู้วาระจิตของสัตว์ทั้งปวงได้

แม้พระตถาคตจะหยั่งรู้วาระจิตของสัตว์ทั้งปวงได้ ก็เพราะปราศจากกิเลสคือความเป็นไปแห่งพระอรหันต์ บุคคลผู้ไม่พ้นกิเลส คือ ไม่ได้สำเร็จพระอรหันต์จะมาปฏิญญาณว่า รู้เห็นจิตแห่งบุคคลอื่น จะควรเชื่อฟังได้ด้วยเหตุใด ถึงแม้จะรู้ด้วยวิชาคุณอย่างอื่น รู้ด้วยสมาธิคุณเป็นต้น ก็รู้ไปไม่ถึงไหน แม้จะรู้ผิดๆ ถูกๆ ไปอย่างนั้น จะรู้จริงแจ้งชัดดังที่รู้ด้วยอรหันตคุณนั้นไม่ได้

ถ้าบุคคลที่ยังไม่พ้นกิเลส มีความรู้ดียิ่งกว่าเราตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์แล้ว การที่เราตถาคตสละบุตร ภรรยาทรัพย์สมบัติอันเป็นเครื่องเจริญแห่งความสุขออกบวชนี้ ก็ชื่อว่าเป็นผู้โง่เขลากว่าบุคคลจำพวกนั้น เพราะเขายังจมอยู่ในกิเลส แต่มีความรู้ดียิ่งกว่าพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ผู้ไกลจากกิเลส ผู้ที่ละกิเลสไม่ได้ คือไม่ได้สำเร็จพระอรหันต์แล้วจะมีปัญญารู้จิตใจแห่งสัตว์ทั้งหลายยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ หรือจะมีปัญญารู้เสมอกันนั้นไม่มีเลย

ผู้ที่ยังละกิเลสไม่ได้ คือยังไม่ได้สำเร็จพระอรหันต์มากล่าวว่า ตนรู้เห็นจิตใจของสัตว์ทั้งหลายนั้น กล่าวอวดเปล่าๆ ความรู้เพียงนั้นยังพ้นนรกไม่ได้ ไม่ควรจะเชื่อถือ ถ้าใครเชื่อถือก็ชื่อว่าเป็นคนนอกพระศาสนา ไม่ใช่ลูกศิษย์ของเราตถาคต แท้ที่จริงก็เอาศาสนธรรมอันวิเศษของเรานี้บังหน้าไว้สำหรับหลอกลวงโลกเท่านั้น บุคคลจำพวกนี้ แม้จะทำบุญกุศลเท่าไรก็ไม่พ้นนรก แม้ผู้ที่มาเชื่อถือบุคคลจำพวกนี้ก็มีทุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้าเหมือนกัน

ดูกรอานนท์ บุคคลจำพวกที่อวดรู้อวดดีอย่างนี้แหละ จะเป็นผู้เบียดเบียนศาสนาของเราให้เศร้าหมองเสื่อมทรามลงไป เมื่อเขาเกิดมาแล้ว ก็จะมาเบียดเบียนพระมหาเถระและสามเณรน้อย ด้วยถ้อยคำอันไม่เจริญใจ ผู้มีปัญญาน้อย ใจเบา ก็จะพากันแตกตื่น สึกหาลาเพศออกจากศาสนา พระศาสนาของเราก็จักเสื่อมถอยลงไป

ดูกรอานนท์บุคคลจำพวกใด หากเบียดเบียนเสียดสีหมิ่นประมาทในพระสังฆเถระแลภิกษุสามเณรที่เป็นศิษย์ของพระตถาคต โดยที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีโทษไม่ถึงปาราชิกและบังคับให้สึกออกจากเพศพรหมจรรย์ หรือกระทำปัพพาชนียกรรมไปเสียก็ดี บุคคลจำพวกนั้นเป็นบาปยิ่งนักไม่อาจพ้นนรกได้

บุคคลจำพวกใดมีความเชื่อความเลื่อมใสในคุณธรรมคำสั่งสอนของเราตถาคต แล้วเชิดชูยกย่องไว้ให้ดี มิได้ดูถูกดูหมิ่น บุคคลจำพวกนั้นก็จะมีความเจริญด้วยความสุข ทั้งในโลกนี้แลโลกหน้า แม้ปรารถนาสุขอันใดซึ่งไม่เหลือวิสัยก็อาจสำเร็จสุขอันนั้นได้ตามปรารถนา

บุคคลที่ทำลายพระพุทธรูป พระสถูป พระเจดีย์ แลตัดไม้ศรีมหาโพธิ์ แลบุคคลจำพวกที่กล่าวหมิ่นประมาทเย้ยหยันแก่สานุศิษย์ของเราตถาคตที่มีโทษไม่ถึงปาราชิก บุคคลจำพวกนี้มีโทษหนักยิ่งกว่าจำพวกที่ทำลายพระพุทธรูปแลพระสถูปพระเจดีย์นั้นหลายเท่า

บุคคลที่ทำลายพระพุทธรูป เป็นต้นนั้น เป็นบาปมากก็จริงอยู่ แต่ยังไม่นับว่าเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา

ผู้ที่กล่าวหมิ่นประมาทนั้น ได้ชื่อว่าทำลายพระพุทธศาสนาของพระตถาคต เพราะว่าผู้ที่มีความผิด โทษไม่ถึงปาราชิกนั้น ยังนับว่าเป็นลูกศิษย์ของเราตถาคตอยู่ ต่อเมื่อเป็นปาราชิกแล้วจึงขาดจากความเป็นลูกศิษย์ของเรา ถ้าเป็นโทษเช่นนั้น แม้จะลงโทษหรือกระทำปัพพาชนียกรรมก็หาโทษมิได้ แลได้ชื่อว่าช่วยพระศาสนาของเราด้วย

การทำลายพระพุทธรูปหรือพระสถูปพระเจดีย์นั้นยังมีทางเป็นกุศลได้อยู่ ดังพระพุทธรูปไม่ดีไม่งาม แล้วทำลายเสีย แก้ไขให้งามให้ดีขึ้น แม้พระเจดีย์แลไม้ศรีมหาโพธิ์ก็เช่นกัน ต้นโพธิ์ที่ตั้งอยู่ในที่ไม่สมควร เช่น ตั้งอยู่ในที่ใกล้ถาวรวัตถุ อาจทำลายถาวรวัตถุนั้นได้ จะตัดเสียก็หาโทษมิได้

ถ้าทำลายเพื่อหาประโยชน์แก่ตน หรือทำลายโดยความอิจฉาริษยาเช่นนั้น ย่อมเป็นบาปเป็นกรรมโดยแท้ แม้ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เชื่อว่าเป็นการทำลายศาสนา พวกที่หมิ่นประมาท ทำให้สงฆ์ที่มีโทษยังไม่ถึงอันติมะให้ได้รับความเดือดร้อนถึงแก่เสื่อมจากพรหมจรรย์ได้ชื่อว่าทำลายพระพุทธศาสนาโดยแท้

ข้าแต่พระมหากัสสปะพระพุทธเจ้าได้ตรัสเทศนาแก่ ข้าฯ อานนท์ ดังนี้.

หากดับกิเลสทั้งห้าได้ขาด คือ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ และ ทิฏฐิ ก็เข้าถึงนิพพาน

แล้วจึงตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ สืบต่อไปอีกว่า
อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลที่ปรารถนาซึ่งสวรรค์แลพระนิพพาน ก็จงรีบพากเพียรกระทำให้ได้ถึงแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เพราะมีอยู่ที่ใจของเราทุกอย่าง จะเป็นการลำบากมากอยู่ก็แต่พระนิพพาน

ผู้ที่ปรารถนาความสุขในพระนิพพาน จงทำตัวให้เหมือนแผ่นดิน
หรือเหมือนดังคนตายแล้วคือ ให้ปล่อยความสุขแลความทุกข์เสีย
ข้อสำคัญก็คือ ให้ดับกิเลส 1,500 นั้นเสีย กิเลส 1,500 นั้น เมื่อย่นย่อลงให้สั้นแล้วก็เหลืออยู่ 5 เท่านั้น คือ โลภะ 1 โทสะ 1 โมหะ 1 มานะ 1 ทิฏฐิ 1

  • โลภะ นั้น คือ ความทะเยอทะยานมุ่งหวัง

อยากได้กิเลสกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ 1
อยากได้วัตถุกาม คือ สมบัติข้าวของซึ่งมีวิญญาณ แลหาวิญญาณมิได้ 1 เหล่านี้ชื่อว่า โลภะ

  1. โทสะ นั้น ได้แก่ความเคืองแค้น ประทุษร้ายเบียด เบียนท่านผู้อื่น ชื่อว่าโทสะ
  2. โมหะ นั้น คือความหลง มีหลงรัก หลงชัง หลงลาภ หลงยศ เป็นต้น ชื่อว่าโมหะ
  3. มานะ นั้น คือความถือตัว ถือตน ดูถูก ดูหมิ่น ท่านผู้อื่น ชื่อว่ามานะ
  4. ทิฏฐิ นั้น คือความถือมั่นในลัทธิอันผิด เห็นเป็นอุจเฉททิฏฐิ แลสัสสตทิฏฐิไป ปล่อยวางความเห็นผิดไม่ได้ชื่อว่าทิฏฐิ

ถ้าดับกิเลสทั้ง 5 นี้ได้แล้ว ก็ชื่อว่า ดับกิเลสได้สิ้นทั้ง 1,500
ถ้าดับกิเลสทั้ง 5 นี้ไม่ได้ ก็ชื่อว่าดับกิเลสไม่ได้เลย

ดูกรอานนท์ ปุถุชนคนหนาทั้งหลายที่ปรารถนา พระนิพพานได้ด้วยยากนั้น ก็เพราะเหตุที่ไม่รู้จักดับกิเลสตัณหา เข้าใจเสียว่าทำบุญทำกุศลให้มากแล้ว บุญกุศลนั้น จักเลื่อนลอยมาจากอากาศเวหา นำตัวขึ้นไปสู่พระนิพพาน

ส่วนว่าพระนิพพานนั้นจะอยู่แห่งหนตำบลใด ก็หารู้ไม่ เป็นแต่คาดคะเนเอาอย่างนั้น จึงได้พระนิพพานด้วยยากแท้ที่จริง

พระนิพพานนั้นไม่มีอยู่ที่อื่นไกลเลย หากมีอยู่ที่จิตใจนั้นเอง ครั้นดับโลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิได้ขาดแล้ว ก็ถึงพระนิพพานเท่านั้น

ถ้าไม่รู้แลดับกิเลสตัณหายังไม่ได้ เป็นแต่ปรารถนาว่าขอให้ได้พระนิพพานดังนี้ แม้สิ้นหมื่นชาติแสนชาติก็ไม่ได้พบปะเลย เพราะกิเลสตัณหาทั้งหลายย่อมมีอยู่ที่ตัวตนของเราทั้งสิ้น เมื่อตัวไม่รู้จักระงับกิเลสตัณหาที่มีอยู่ให้หมดไป ก็ไม่ได้ไม่ถึงเท่านั้น จะคอยท่าให้บุญกุศลมาช่วยระงับดับกิเลสของตัวเช่นนี้ ไม่ใช่ฐานะที่จะพึงคิด บุญกุศลนั้นก็คือตัวเรานี้เอง เรานี่แหละจะเป็นผู้ระงับดับกิเลสให้สิ้นไปหมดไป จึงจะสำเร็จได้สมประสงค์

ดูกรอานนท์ ปุถุชนคนเขลาทั้งหลายที่ได้ถึงพระนิพพานด้วยยากนั้น เพราะเขาปรารถนาเปล่าๆ จึงไม่ได้ไม่ถึง เขาไม่รู้ว่าพรนิพพานอยู่ที่ในใจเขา มีแต่คิดในใจว่าจะไปเอาในชาติหน้า หารู้ไม่ว่านรก สวรรค์ แลพระนิพพานมีอยู่ในตน เหตุฉะนั้นจึงพากันตกทุกข์ได้ยากลำบากยิ่งนัก พากันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนี้ ถือ

เอากำเนิดในภพน้อยภพใหญ่อยู่ไม่มีที่สิ้นสุด
ข้าแต่พระมหากัสสปะ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ด้วยประการดังนี้.

เมื่อตนยังไม่หลุดพ้น
ก็ไม่ควรจะสั่งสอนผู้อื่น

แล้วจึงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า
อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลผู้มีปัญญา พึงคิดถึงตนแล้วปราบใจของตนให้พ้นจากทุกข์แลความลำบาก แลให้ออกจากบ่วงแห่งกิเลสมารให้ได้เถิด ถ้าไม่คิดอย่างนี้ แม้จะมีปัญญาก็มีเสียเปล่า ไม่นับเข้าในจำนวนที่มีปัญญา กิริยาที่พ้นทุกข์ แลพ้นออกจากบ่วงแห่งกิเลสมารได้ ก็คือพ้นจากกิเลสตัณหาของเรา เมื่อพ้นจากกิเลสตัณหาได้เช่นนั้น ก็ได้ชื่อว่า พ้นจากความทุกข์ความยากโดยสิ้นเชิง ถ้ายังไม่พ้นก็ได้ชื่อว่า ยังไม่พ้นจากความทุกข์ความยาก

เมื่อตนยังไม่หลุดไม่พ้น ก็ไม่ควรจะสั่งสอนผู้อื่น เพราะตัวยังไม่พ้น จะสั่งสอนผู้อื่นให้พ้นได้ด้วยอาการอย่างไร เปรียบเหมือนบุคคลจะข้ามแม่น้ำ ถ้าตัวของเราข้ามไปถึงฝั่งฟากโน้นแล้ว จึงร้องบอกให้ท่านผู้อื่นข้ามตามตน เช่นนี้ สมควรแท้ เมื่อเราร้องบอกเขาแล้ว เขาจะพอใจไปหรือไม่ ก็แล้วแต่ใจเขา ส่วนตัวของเราข้ามไปได้สมประสงค์แล้ว

ข้ออุปมานี้ฉันใด ผู้ที่จะเป็นครูเป็นอาจารย์สอนให้ผู้อื่นพ้นจากทุกข์ก็ต้องทำตัวให้พ้นจากทุกข์เสียก่อนจึงสมควรจะสอนผู้อื่น มีอุปไมยเหมือนผู้ที่จะพาข้ามแม่น้ำฉะนั้น

บุคคลที่เปลื้องตัวให้พ้นออกจากกองกิเลสยังไม่ได้ จะไปเปลื้องปลดสัตว์ในป่าช้า ผีทั้งหลายเขาจะหัวเราะเยาะเย้ย ว่า อโห โอหนอ ตัวของท่านก็ยังไม่พ้นทุกข์ แล้วจะมาเอาพวกข้าพเจ้าออกจากทุกข์ได้อย่างไร ตัวของท่านและพวกข้าพเจ้าก็ยังไม่พ้นจากนรกอยู่เหมือนกัน จะพาพวกข้าพเจ้าให้พ้นจากนรกได้ด้วยอาการอย่างไร.

คฤหัสถ์ก็ดี นักบวชก็ดี
ที่กล่าวว่าตัวรู้ ตัวเห็น และพูดจากับผีได้
เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอกศาสนา

ดูกรอานนท์ บุคคลจำพวกใดที่ให้ผีในป่าช้าหัวเราะเยาะ เย้ยเล่น เช่นนี้ บุคคลจำพวกนั้น ถ้ามีขึ้น ก็เป็นเหตุให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บอันตรายต่างๆ หาความสุขความเจริญไม่ได้ดูกรอานนท์ คฤหัสถ์ก็ดี นักบวชก็ดี มากล่าวว่าตัวรู้ ตัวเห็น แลได้พูดจากับด้วยผี ดังนี้ ก็พึงให้รู้ว่าคนจำพวกนั้น ไม่ใช่ลูกศิษย์ของเราตถาคต เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอกพระศาสนา ไม่ควรเชื่อถือเอาเป็นครูเป็นอาจารย์ เพราะเขาเป็นคนเจ้าอุบาย เจ้าเล่ห์ เจ้ากลเท่านั้น ที่มีความรู้จริงเห็นจริง

พูดจาสนทนากับผีได้
มีแต่พระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์เท่านั้น
นอกนั้นไม่มีใครรู้จริงเห็นจริง
เป็นคนอุตริทั้งนั้น

ดูกรอานนท์ เราจะทำนายไว้ให้เห็น ในอนาคตกาลข้างหน้า จักเกิดพวกมิจฉาทิฏฐิภายนอกพระศาสนา อวดอ้างว่าตัวรู้ ตัวเห็นผี ได้พูดจากับด้วยผี ครั้นบุคคลจำพวกนั้นเกิดขึ้นแล้ว ก็จักเบียดเบียนพระศาสนาของเราให้เสื่อมถอยลงไป ด้วยวาทะถ้อยคำเสียดสีต่างๆ พระสงฆ์สามเณรก็จักเกิดระส่ำระสาย หาความสบายมิได้ เขาจักสอนทิฏฐิวัตรอย่างเคร่งครัด ถืออรัญญิกธุดงค์อย่างพระเทวทัต

ภายหลังก็จักเกิดพระบ้านพระป่ากันขึ้นแล้วก็จักแตกกันออกเป็นพวกๆไม่สามัคคีกัน ต่างพวกก็ถือแต่ตัวดีศาสนาของเราก็จักเสื่อมถอยลงไป เพราะพวกมิจฉาทิฏฐิ เห็นแก่ลาภยศ หาความสุขมิได้
มรรคผลธรรมวิเศษก็จักไม่เกิดขึ้นแก่เขา เขาจักเรียนเอาแต่วิชาศีลธรรม อันพวกมิจฉาทิฏฐิสอนให้รู้อะไรกันขึ้นเล็กน้อย ก็อวดดีกันไป แท้ที่จริงความรู้เหล่านั้นล้วนแต่รู้ดีสำหรับไปสู่นรก เขาจักไม่พ้นจตุราบายได้เลย

ดูกรอานนท์ ในอนาคตกาลภายหน้า จักมีอย่างนี้ไม่ต้องสงสัย ถ้าผู้ใดรู้ลัทธิทิฏฐิอย่างนี้ไว้แล้ว เมื่อได้เห็นก็จงเพียรพยายามละเว้น ก็จักได้ประสบความสุขการที่จะระงับดับกิเลสก็ให้ระงับบริโภค
2 ประการให้เบาบางลงบริโภค 2 นั้น คือ จีวรปัจจัยแลเสนาสนปัจจัย สองอย่างนี้ชื่อว่าบริโภคภายนอก นับเป็นอย่างหนึ่ง บิณฑบาตปัจจัยแลคิลานปัจจัย สองอย่างนี้ชื่อว่า บริโภคภายใน นับ
เป็นอย่างหนึ่ง บริโภคทั้ง 2 นี้เป็นตัวกิเลส ตัวทุกข์ตัวสุขสิ้นทั้งนี้ถ้าบริโภค 2 นี้มากขึ้นเท่าใด ทุกข์ก็มากขึ้นไปตามเท่านั้น ถ้าบริโภค 2 อย่างนี้น้อยลง ทุกข์ก็น้อยลงความสุขก็มากขึ้น คือบาปน้อยลงเท่าใด บุญกุศลก็มากขึ้นเท่านั้น อันบุญกุศลก็มีอยู่ที่ตัวบุคคลทั้งสิ้น ผู้ที่ละบริโภค 2 นั้นได้แล้วนรกก็พ้น สวรรค์แลพระนิพพานสิ่งใดๆ ก็ได้ในที่นั้น.

พระปาติโมกข์แลธุดงควัตร
ที่ทรงบัญญัติไว้
ก็เพื่อเป็นเครื่องดับกิเลสตัณหา

ดูกรอานนท์ บุคคลที่บวชเข้าแล้ว ไม่รู้จักระงับดับกิเลสคือ บริโภค 2 ให้เบาบาง เข้าใจว่าบวชรักษาศีล ถือคลองวัตรเอาบุญ ไม่หาอุบายระงับดับกิเลสบริโภค 2 จะได้บุญได้ความสุขมาแต่ที่ไหน
ถ้าคิดอย่างนั้น แม้จะรักษาศีลตลอดพระปาติโมกข์แลธุดงควัตร ก็เป็นอันรักษาเปล่า รักษาให้เหนื่อยยากลำบากกายเปล่า ไม่อาจเป็นบุญเป็นกุศลได้ พระปาติโมกข์แลธุดงควัตรทั้งหลายที่ทรงบัญญัติแต่งตั้งไว้นั้น ก็เพื่อให้เป็นเครื่องระงับดับกิเลสตัณหา คือ บริโภคทั้ง 2 ถ้าระงับไม่ได้ ก็ไม่เป็นบุญเป็นกุศล ผู้ที่ทำความเข้าใจว่าพระปาติโมกข์แลธุดงควัตรจะช่วยยกตัวให้ขึ้นไปสู่สวรรค์และพระนิพพานเช่นนี้ เป็นความเห็นของคนที่โง่เขลาเบาปัญญาจักไม่พ้นทุกข์เลย

บริโภคทั้ง 2 นั้นได้ชื่อว่า ปลิโพธ 2 ที่แปลว่า

ความกังวล การรักษาพระปาติโมกข์แลธุดงควัตร ก็เพื่อจะตัดปลิโพธความกังวลให้เบาบางลง ถ้าเบาบางลงได้เท่าใด ก็เป็นบุญเป็นกุศล เป็นสวรรค์ และพระนิพพานขึ้นไปเท่านั้น พระพุทธเจ้าทรงย่นโอวาท คำสั่งสอนลงสู่ปลิโพธ 2 ว่าเป็นที่สุดโดยสิ้นเชิง
คือว่า นรกสวรรค์และพระนิพพานมีอยู่ที่ปลิโพธ 2 ครบบริบูรณ์

ผู้ศึกษาเล่าเรียนจะรู้มากรู้น้อยเท่าไร ไม่นิยมรู้มากหรือรู้น้อย ถ้าระงับปลิโพธนั้นได้ก็เป็นดี จะอยู่วัดบ้านหรือวัดป่าประการใดก็ตาม ถ้าระงับปลิโพธ 2 นั้นได้ ย่อมเป็นความดีความชอบทั้งสิ้น ถ้าระงับปลิโพธ ๒ นั้นไม่ได้ แม้จะรู้มากมายและอยู่วัดบ้านวัดป่าประการใด ย่อมไม่ดีทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาเป็นใจความอย่างนี้.

การดับกิเลสให้สิ้นเชิง
ให้เลือกประพฤติตามความปรารถนา อันดับนั้นจึงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า อานนฺท

ดูกรอานนท์ ธรรมนี้ชื่อว่า พระยาธรรมมิกราช เพราะเป็น
ใหญ่กว่าธรรมทั้งหลาย ข้อที่เราตถาคตได้ตรัสไว้แล้วในธรรมหมวดนี้คือ ได้ชี้นรก แลสวรรค์ แลพระนิพพาน กิเลสตัณหา โดยจะแจ้งสิ้นเชิง เมื่อผู้ใดฟังแล้วปรารถนาสุขทุกข์ประการใด ก็จงเลือกประพฤติตามความปรารถนา.

ในอนาคต กุลบุตรที่เลื่อมใสในพุทธศาสนาสามารถบวชได้แม้ไม่มีพระภิกษุ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสฉะนี้แล้ว จึงซ้ำตรัสอนุญาต ปัจฉิมบรรพชาไว้แก่ข้าฯ อานนท์ว่า

อานนฺท ดูกรอานนท์

แม้ในปัจฉิมกาล เมื่อหาพระสงฆ์ครบคณะบรรพชาไม่ได้ โดย
ที่สุดแม้มีภิกษุองค์เดียว เมื่อกุลบุตรมีศรัทธา เลื่อมใสในคุณ
แห่งเราตถาคต อยากจะบวชเป็นภิกษุในสำนักแห่งภิกษุองค์เดียว  ก็จงบวชเถิด

โดยที่สุดลงไปอีก แม้จะหาพระภิกษุสักองค์เดียวไม่ได้ กุลบุตรผู้มีศรัทธาใคร่จะบวชสืบศาสนาแห่งเราตถาคตก็ให้ศึกษาจตุตถปาราชิก แลบริโภค ๒ นั้น ให้เข้าใจ แล้วเข้าสู่เฉพาะพระพุทธรูปหรือพระสถูป หรือพระเจดีย์ หรือแม้หาที่ควรเคารพเช่นนั้นไม่ได้ ก็ให้ระลึกถึงเราตถาคต แล้วบวชเป็นพระภิกษุเถิด ให้ตั้งใจสมาทานว่า

อิมํ ปพฺพชฺชํ สมาทิยามิ ทุติยมฺปิ ตติยมฺปิ.
อิมํ ปพฺพชฺชํ สมาทิยามิ
แล้วให้สมาทาน จตุตถปาราชิกว่า
ปฐมํ ปาราชิกํ สมาทิยามิ ทุติยํ ตติยํ จตุตฺถํ ปาราชิกํ สมาทิยามิ     แล้วบวชเป็นภิกษุเถิด

ถ้าหากพระสงฆ์ยังมีอยู่อย่างน้อยเพียงองค์เดียวแล้ว จะบวชโดยลำพังไม่ได้ ถ้าขืนบวชชื่อว่า ดูถูกดูหมิ่นพระศาสนา เป็นบาปยิ่งนัก อย่าทำเลย เมื่อบวชโดยวิธีนี้ ผู้ใดคัดค้านว่า ไม่ควรจักเป็นบาปเป็นกรรมยิ่งนัก เราอนุญาตไว้สำหรับ คราวอันตรธานต่างหาก

ข้าแต่พระมหากัสสปะ พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาแก่ข้าฯ อานนท์ ดังนี้ ขอพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย จงทราบด้วยพลญาณของตน โดยนัยดังข้าพเจ้าอานนท์แสดงมานี้ เทอญ แล้วพระองค์ก็หยุด ไม่ทรงตรัสเทศนาอีกต่อไป.

พระคิริมานนท์บรรลุอรหันต์

ข้าพเจ้ากราบถวายบังคมแล้ว ก็กลับไปสู่สำนักท่านคิริมานนท์ แสดงสัญญาทั้ง ๒ ประการคือ รูปสัญญา นามสัญญา ให้พระผู้เป็นเจ้าฟังโดยพุทธบริหารทุกประการ

ท่านคิริมานนท์กำหนดตามพระธรรมเทศนาก็ได้บรรลุพระอรหัตตผลในขณะที่วางธุระในรูปในนาม โรคภัยของท่านที่เจ็บปวดเวทนา
ก็อันตรธานหายไปในขณะนั้น

ข้าแต่พระมหากัสสปะผู้มีอายุ พระสูตรนี้จะได้ชื่อว่าพระยาธรรมมิกสูตร ตามรับสั่งนั้นก็จะเสียนิมิตไป เพราะอาศัยพระผู้เป็นเจ้าคิริมานนท์เป็นนิมิต พระสูตรนี้พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาที่วัดเชตวนาราม ปรารภพระคิริมานนท์เกิดอาพาธให้เป็นเหตุ จึงได้ชื่อว่า คิริมานนทสูตร มีเนื้อความ ดังแสดงมานี้แล.

ที่มา: dhammajak2500

  • FINN

    Related Posts

    ทุนปริญญาตรี หลักสูตร iCLA (Yamanashi Gakuin University)

    ทุนปริญญาตรี หลักสูตร iCLA (Yamanashi Gakuin University) เปิดรับสมัครนักศึกษา ระดับ ปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ iCLA (The International College of Liberal Arts) หลักสูตรอินเตอร์ ประจำปีการศึกษา 2024 เข้าศึกษาเทอมกันยายน 2024 หลักสูตร iCLA (The International College of Liberal Arts)…

    Doshisha Business School, Doshisha University

    Doshisha Business School, Doshisha University หลักสูตรที่เปิดสอน

    You Missed

    General Well (2024) งานเลี้ยงหนานเฉิง

    • By FINN
    • June 22, 2024
    • 16 views
    General Well (2024) งานเลี้ยงหนานเฉิง

    ร้านราเมนทงคตสึชื่อดัง อุเมดะ ชิบาตะ (ICHIRAN Umeda Shibata)

    • By FINN
    • June 17, 2024
    • 10 views
    ร้านราเมนทงคตสึชื่อดัง อุเมดะ ชิบาตะ (ICHIRAN Umeda Shibata)

    The Legend of Heroes Hot Blooded (2024) มังกรหยก ก๊วยเจ๋งอึ้งย้ง

    • By FINN
    • June 17, 2024
    • 11 views
    The Legend of Heroes Hot Blooded (2024) มังกรหยก ก๊วยเจ๋งอึ้งย้ง

    Miss Night and Day (2024) มิส ไนท์ แอนด์ เดย์

    • By FINN
    • June 16, 2024
    • 15 views
    Miss Night and Day (2024) มิส ไนท์ แอนด์ เดย์

    Jade’s Fateful Love (2024) ปาฏิหาริย์รักหยกวิเศษ

    • By FINN
    • June 16, 2024
    • 9 views
    Jade’s Fateful Love (2024) ปาฏิหาริย์รักหยกวิเศษ

    Deep Love Love Again (2024) ปมรักในรอยแค้น

    • By FINN
    • June 15, 2024
    • 13 views
    Deep Love Love Again (2024) ปมรักในรอยแค้น