อริยทรัพย์ ทรัพย์อันประเสริฐ ทรัพย์ของผู้เป็นอริยะ มี 7 ประการ ดังนี้
- สัทธาธนัง (ศรัทธา) คือ ความเชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ ความเชื่อที่มีเหตุผล มั่นใจในหลักที่ถือและในการดีที่ทำ (confidence)
- สีลธนัง (ศีล) คือ การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย ประพฤติถูกต้องดีงาม (morality, good conduct, virtue)
- หิริธนัง (หิริ) คือ ความละอายแก่ใจที่จะทำชั่ว ความละอายใจต่อการทำความชั่ว (moral shame, conscience)
- โอตตัปปธนัง (โอตตัปปะ) คือ ความเกรงกลัวต่อผลของการทำชั่ว ความเกรงกลัวต่อความชั่ว (moral dread, fear-to-err)
- สุตธนัง (พาหุสัจจะ, ทรัพย์คือสุตะ) คือ ความเป็นคนคงแก่เรียน ความเป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก (great learning)
- จาคธนัง (จาคะ) คือ ความเสียสละ แบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ (liberality)
- ปัญญาธนัง (ปัญญา) คือ ความฉลาดรู้บาปบุญคุณโทษ ความรู้ความเข้าใจถ่องแท้ในเหตุผล ดีชั่ว ถูกผิด คุณโทษ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ รู้คิด รู้พิจารณา และรู้ที่จะจัดทำ (wisdom)
อริยทรัพย์ จัดเป็นทรัพย์ภายใน ไม่ใช่ทรัพย์ภายนอกเหมือน ทรัพย์สินเงินทอง แต่ดีกว่าทรัพย์ภายนอกเพราะเป็นทรัพย์ติดตัวไม่มีใครลักขโมยเอา ไปได้ ไม่ต้องออกแรง ไม่ต้องสร้างเครื่องป้องกัน และ ติดตามไปได้ทุกหนทุกแห่งโดยไม่ต้องแบกหามไป ที่สำคัญคือสามารถนำส่งให้ถึงสุคติได้ เป็นเหตุให้บรรลุนิพพานได้
อริยทรัพย์ เป็นทรัพย์อันประเสริฐอยู่ภายในจิตใจ ดีกว่าทรัพย์ภายนอกเพราะไม่มีผู้ใดแย่งชิง ไม่สูญหายไปด้วยภัยอันตรายต่างๆ ทำใจให้ไม่อ้างว้าง ยากจน และเป็นทุนสร้างทรัพย์ภายนอกได้ด้วย ธรรม 7 นี้ เรียกอีกอย่างว่า พหุการธรรม หรือ ธรรมมีอุปการะมาก (virtues of great assistance; D.III.282; ที.ปา. 11/433/310) เพราะเป็นกำลังหนุนช่วยส่งเสริมในการบำเพ็ญคุณธรรมต่างๆ ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้สำเร็จได้อย่างกว้างขวางไพบูลย์ เปรียบเหมือนคนมีทรัพย์มาก ย่อมสามารถใช้จ่ายทรัพย์เลี้ยงตนเลี้ยงผู้อื่นให้มีความสุข และบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆ ได้เป็นอันมาก.
เฉพาะฉะนั้น อริยทรัพย์ 7 คือ ทรัพย์คือศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ ปัญญา
เพิ่มเติม
ธนสูตรที่ 2 เล่มที่ 23
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทรัพย์ 7 ประการนี้ 7 ประการเป็นไฉน คือ
ทรัพย์ คือ ศรัทธา 1 ศีล 1 หิริ 1 โอตตัปปะ 1 สุตะ 1 จาคะ 1 ปัญญา 1
1. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือ ศรัทธาเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีศรัทธา คือ เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เอง โดยชอบ ฯลฯ เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม นี้เรียกว่า ทรัพย์คือศรัทธา ฯ
2. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือ ศีลเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้เป็นผู้เว้นจากการฆ่าสัตว์ ฯลฯ จากการดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท นี้เรียกว่า ทรัพย์คือ ศีล ฯ
3. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือหิริเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีความละอาย คือ ละอายต่อกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ละอายต่อการถูกต้องอกุศลธรรมอันลามก นี้เรียกว่า ทรัพย์คือหิริ ฯ
4. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือ โอตตัปปะเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีความสะดุ้งกลัว คือ สะดุ้งกลัวต่อกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต สะดุ้งกลัวต่อการถูกต้องอกุศลธรรมอันลามก นี้เรียกว่า ทรัพย์คือ โอตตัปปะ ฯ
5. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือ สุตะเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้เป็นพหูสูต ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้สดับมามาก ทรงไว้คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง นี้เรียกว่า ทรัพย์คือสุตะ ฯ
6. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือ จาคะเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีใจอันปราศจากมลทิน คือ ความตระหนี่ อยู่ครองเรือน มีจาคะอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในทานและการจำแนกทาน
นี้เรียกว่า ทรัพย์คือจาคะ ฯ
7. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือ ปัญญาเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มีปัญญา คือ ประกอบด้วยปัญญาที่กำหนดความเกิด และความดับ เป็นอริยะ ชำแรกกิเลสให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ นี้เรียกว่า ทรัพย์คือปัญญา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทรัพย์ 7 ประการนี้แล ฯ ทรัพย์ คือ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ และปัญญาเป็นที่ 7 ทรัพย์เหล่านี้มีแก่ผู้ใด เป็นหญิงหรือ ชายก็ตาม บัณฑิตเรียกผู้นั้นว่า เป็นผู้ไม่ยากจน ชีวิตของผู้นั้นไม่เปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้น ท่านผู้มีปัญญา เมื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึงประกอบศรัทธา ศีล ความเลื่อมใส และการเห็นธรรม ฯ จบสูตรที่ 6
อุคคสูตร เล่มที่ 23
ครั้งนั้นแล มหาอำมาตย์ของพระราชาชื่อว่าอุคคะ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไม่เคยมีมา โดยเหตุที่มิคารเศรษฐีผู้เป็นหลานโรหณเศรษฐี เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมากถึงเพียงนี้
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรอุคคะ ก็มิคารเศรษฐีหลานโรหณเศรษฐี มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมากสักเท่าไร ฯ
อุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มีทองแสนลิ่ม จะกล่าวไปไยถึงเงิน ฯ
พ. ดูกรอุคคะ ทรัพย์นั้นมีอยู่แล เรามิได้กล่าวว่าไม่มี แต่ทรัพย์นั้นแล เป็นของทั่วไปแก่ไฟ น้ำ พระราชา โจร ทายาทผู้ไม่เป็นที่รัก
ดูกรอุคคะ ทรัพย์ 7 ประการนี้แล ไม่ทั่วไปแก่ไฟ น้ำ พระราชา โจร ทายาทผู้ไม่เป็นที่รัก 7 ประการเป็นไฉน คือ ทรัพย์คือ ศรัทธา 1 ศีล 1 หิริ 1 โอตตัปปะ 1 สุตะ 1 จาคะ 1 ปัญญา 1
ดูกรอุคคะ ทรัพย์ 7 ประการนี้แล ไม่ทั่วไปแก่ ไฟ น้ำ พระราชา โจร ทายาทผู้ไม่เป็นที่รัก ฯ
ทรัพย์ คือ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ และปัญญาเป็นที่ 7 ทรัพย์เหล่านี้มีแก่ผู้ใด เป็นหญิงหรือชายก็ตาม เป็นผู้มีทรัพย์มากในโลก อันอะไรๆ พึงผจญไม่ได้ในเทวดาและมนุษย์ เพราะฉะนั้น ท่านผู้มีปัญญา เมื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึงประกอบศรัทธา ศีล ความเลื่อมใส และการเห็นธรรม ฯ จบสูตรที่ 7 ที่มา: tipitaka.com