1. นึกถึงจุดประสงค์ของเรื่องก่อนเล่าเรื่อง
ก่อนที่เราจะเริ่มเล่าเรื่องอะไรนั้น เราต้องคิดก่อนว่าเราอยากให้ผู้ฟังรู้สึกอย่างไร และอยากให้พวกเขาได้รับอะไรจากเรื่องที่เราเล่าออกไป เพื่อที่จะได้เลือกวิธีการเล่าเรื่องได้เหมาะสมกับจุดประสงค์ที่คิดเอาไว้ เช่น ถ้าอยากให้ผู้ฟังได้ผ่อนคลาย ก็ใช้วิธีการเล่าเรื่องตลก สบายๆ สอดแทรกเข้าไปกับการนำเสนอของเรา แต่ถ้าต้องการให้ผู้ฟังนั้นเกิดความตื่นเต้นและสนใจในสิ่งที่เราต้องการนำเสนอ อาจเลือกให้วิธีการเล่าไปทีละส่วน และเปิดเผยข้อมูลทีละเล็กละน้อย เพื่อกระตุ้นผู้ฟังให้เกิดความสนใจในเรื่องที่เราเล่ามากขึ้น หรือหากลองดูตัวอย่างจากกรณีสถานการณ์จริง สมมติเราเป็นบริษัทผู้ให้บริการเกี่ยวกับโทรศัพท์เจ้าหนึ่ง และเราอยากให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อมั่นเชื่อถือในมาตรฐานการบริการของเรา ก็อาจใช้วิธีเล่าเรื่องที่เราเคยช่วยแก้ปัญหาและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง และลูกค้าเหล่านั้นมีความคิดเห็นตอบรับกลับมาเป็นอย่างไร
2. เริ่มต้นด้วยใคร ที่ไหน เมื่อไร
การจินตนาการคือสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้ฟังสามารถจดจำเรื่องราวได้ ซึ่งถ้าเราสามารถสร้างภาพของเรื่องราวขึ้นมาในหัวของผู้ฟังได้จะยิ่งทำให้เรื่องราวดูน่าเชื่อถือและน่าจดจำมากยิ่งขึ้น โดยเรื่องราวที่โด่งดังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ นิยาย หรือรายการทีวีก็มักเริ่มต้นด้วยตัวละคร (ที่กำลังจะไปทำอะไรบางอย่าง) สถานที่ (ที่ซึ่งเกิดเหตุการณ์ในเรื่อง) เวลา และรวมถึงตัวบอกใบ้ทิศทางของเรื่องราวที่จะไปต่อ เพื่อให้ผู้ฟังสามารถจินตนาการตามได้ง่ายขึ้น
3. จบให้ตราตรึงใจ
แน่นอนว่าการเล่าเรื่องสักเรื่องนั้นการเริ่มเรื่องถือเป็นส่วนสำคัญ โดยเรื่องราวเหล่านั้นควรมีตอนเริ่มที่น่าสนใจและน่าติดตาม อย่างไรก็ตามส่วนสำคัญที่สุดของเรื่องก็ไปตกอยู่ที่ตอนจบอยู่ดี โดยตอนจบที่ดีจะต้องมัดใจผู้ฟังให้เกิดความเข้าใจและเกิดความรู้สึกตามสิ่งที่เราอยากให้เขารู้สึกได้ เช่น ถ้าเป็นเรื่องราวของความหวังและการให้กำลังใจ เมื่อผู้ฟังฟังจบแล้วก็ต้องเกิดกำลังใจในการทำงานหรือการใช้ชีวิตตามแนวคิดที่เราพูดถึงได้ด้วย ซึ่งเราสามารถดูได้ง่ายๆ ว่าเราจบเรื่องได้ดีไหม โดยการดูว่าเรื่องที่เราเล่าตอนจบนั้น เป็นการจูงใจลูกค้าให้มองเห็นผลลัพธ์ที่เขาจะได้หากเลือกเราหรือเปล่า ตัวอย่างเช่น ถ้าเราไปเสนอขายการบริการแล้วอยากให้ลูกค้ามั่นใจในคุณภาพก็ควรจะลงท้ายเรื่องแบบให้ลูกค้ามั่นใจว่าทีมงานบริการของเรานั้นพร้อมทำงานทุกวัน 24 ชั่วโมงรวมถึงในวันหยุดด้วย เพื่อให้ระบบของลูกค้าทุกท่านสามารถทำงานได้เป็นปกติตลอดเวลา
4. เล่าถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้ประสบความสำเร็จ
ในเรื่องเล่าทุกๆ เรื่องนั้นจะมีจุดพลิกผันอย่างน้อยจุดหนึ่งในเรื่อง จุดพลิกผันที่ว่าเกิดจากการตัดสินใจเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไป ซึ่งจุดพลิกผันนี้อาจจะทำให้คนฟังหรือคนที่กำลังประสบปัญหาเดียวกันได้ตัดสินใจเลือกเส้นทางแบบนี้บ้างเมื่อพบเจอกับอุปสรรคและปัญหา เพื่อที่จะได้ไปสู่ความสำเร็จเช่นเดียวกันกับตัวละครในเรื่องเล่า
ตัวอย่างเช่นเรื่องของงานการบริการลูกค้าแห่งหนึ่งที่จุดหักเหของเรื่องอยู่ที่หัวหน้าทีมบริการลูกค้าตัดสินใจที่จะเลื่อนวันหยุดของตัวเองออกไปเพื่อรับผิดชอบกับงานบริการให้เต็มที่ในช่วงที่มีปัญหาเข้ามามากๆ ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับพนักงานในแผนกเดียวกันเกิดแรงบันดาลใจและทุ่มเทเพื่องานมากขึ้นตามไปด้วย
เทคนิคที่สำคัญในข้อนี้คืออย่าสับสนระหว่างจุดหักเหเรื่องราวกับตอนจบของเรื่อง เพราะจุดเปลี่ยนของเรื่องราวนั้นไม่ใช่ตัวบอกว่า เกิดอะไรขึ้น แต่เป็นการบอกถึงการตัดสินใจในครั้งนั้นทำให้เกิดอะไรตามมาบ้าง และโดยปกติแล้วตรงจุดหักเหของเรื่องนี่เองที่จะเป็นช่วงที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจหรือผลกระทบต่อเรื่องเล่าของเราได้ดีที่สุด ฉะนั้นการให้น้ำหนักความสำคัญกับจุดหักเหของเรื่องจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการสร้างความน่าสนใจ
เทคนิคการเล่าเรื่องทั้ง 4 เทคนิคนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เรื่องราวที่เราสร้างสรรค์ขึ้นมามีความน่าสนใจและน่าติดตามมากขึ้น ซึ่งการเล่าเรื่องถือว่ามีส่วนสำคัญมากในการทำธุรกิจ เพราะการขายสินค้าหรือบริการต่างๆ มักเริ่มด้วยการเล่าเรื่องและการโน้มน้าวให้ผู้เข้าชมหรือผู้ซื้อฟังคล้อยตามเราให้ได้เสียก่อน ดังนั้นการเล่าเรื่องหรือการเสนอขายสินค้าจึงถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมากในการชักจูงลูกค้าเลยทีเดียว ที่มา : http://incquity.com